พรหมลิขิต ผิดคิว
จากวันนั้น วิภาวรรณก็เข้าทำงานตามปกติ ด้วยสีหน้าระรื่น ทักทายกับพนักงานทุกคนในธนาคารเสียงแจ๋ว จนเป็นที่แปลกใจ โดยเฉพาะแพรวา หล่อนสังเกตมาหลายวันแล้ว เกิดความอยากรู้ว่า เจ้านายสาวเกิดอะไรขึ้น ถึงได้เปลี่ยนแปลงไป สงสัยจะปรับความเข้าใจกับวีรพลแล้ว น่าจะเป็นเช่นนั้น ก่อนนี้เธอไม่ค่อยกล้าเข้าไปคุยด้วยเท่าไหร่ เพราะหากวิภาวรรณเงียบขรึม หล่อนก็ไม่กล้าไปคุย เพราะส่วนมากแพรวามักจะไปพูดคุยชวนหัวเราะสนุกสนาน เหตุนี้เองทำให้วิภาวรรณสนิทสนมและรักใคร่แพรวากว่าพนักงานทุกคน
“อะแฮ่ม!! เอ พี่ภาของแพร เป็นอะไรน๊า หมู่นี้อารมณ์ดีเชียว หรือว่าพี่พลบอกรัก ขอแต่งงาน....”
“อะรายยยย แพร... จะให้พี่หน้าบึ้งทั้งชาติเลยเหรอ..” เสียงมือถือดังแทรกเข้ามาซะก่อน ...
“โทษจ่ะ แป้บนะ...... ค่ะ ......ค่า.... เพิ่งถึงมะกี้เอง.......ค่า.. เอ่อ ภามีงานอยู่นะคะ แค่นี้นะคะ” พอวางสายก็รีบปรับสีหน้าให้เรียบ เหมือนกับไม่อยากคุยโทรศัพท์ต่อหน้าลูกน้อง
“นั่นแน่ พี่พลโทรมาแน่ๆ รับสายยิ้มหวานขนาดนี้”
“ไม่ช่ายหรอกจ่ะ เพื่อนพี่เองนะคะ”
“หูยยยย โกหกไม่เนียนเลยคะ แพรทำงานกับพี่จะ 4 ปีแล้ว เคยได้ยินแต่คำว่า ชั้น ดิชั้น เพิ่งได้ยินเรียกว่า ภา คราวนี้แหละ อย่ามาอำแพรเลยน่า” แพรวาส่งสายตาทะเล้น รู้ทัน วิภาวรรณเองก็จนแต้ม รีบตัดบทไล่แพรไปทำงานต่อ ทั้งออฟฟิต วันนั้นบรรยากาศครื้นเครง เพราะพนักงานเห็นเจ้านายอารมณ์ดี ต่างก็ทำงานอย่างไม่เครียด จนเลิกงาน วิภาวรรณก็กลับบ้านสวน ทั้งที่ปกติหล่อนมักจะอยู่ร้านขายของฝาก ยกเว้นเย็นวันศุกร์-อาทิตย์ จนพนักงานขายของที่ทำงานด้วยตั้งแต่ตั้งร้านใหม่ๆ เย้าแหย่ เพราะพอจะรู้อยู่บ้างว่ามีหมอหนุ่มมาติดพัน ซึ่งสร้างบ้านสวนติดกัน พอมาถึงบ้านก็เปลี่ยนชุด เดินไปหาวีรพลซึ่งวันนี้ไม่มีตารางเวรเข้าโรงพยาบาล เห็นเค้าเดินเข้าไปในสวนจึงเดินตามไป
“มาทำอะไรในสวนคะ พล”
“ผมมาดูที่อ่ะครับ วางแผนไว้ว่า จะเปลี่ยนจากมังคุด ทุเรียน ที่มีอยู่ 4-5 ไร่เนี่ย มาเป็นสวนกล้วยไม้”
“หืมมมม ทำไมละคะ”
“ผมฝันไว้ อยากปลูกกล้วยไม้ ที่จันทบุรีเค้าปลูกผลไม้สวนกันเยอะแยะแล้ว ผมเองก็ไม่ได้หวังอยากจะปลูกผลไม้ขายอยู่แล้ว เอาแค่เหลือไว้พอได้กินบ้างก็พอ เลยอยากทำสิ่งที่ผมฝันไว้ ก็ไม่ได้คิดว่าจะขายกล้วยไม้เอาทุนกำไร อะไรหรอก แค่อยากมีน่ะ ผมยังพอจำวิชาเพาะกล้วยไม้ตอนผมอยู่กับลุงที่เชียงใหม่ตั้งแต่ 11หรือ12 ขวบนี่แหละจนถึงตอนจะเข้ามหา’ลัย ถึงได้กลับมากรุงเทพฯ ก็คิดว่าน่าจะลองทำดูบ้าง กลับบ้านมาอยู่ในสวนดอกไม้สวยๆ ผมคิดว่ามันมีความสุขดี เหมือนคุณลุงผม กะว่าถ้าภามีลูก อยากให้ภาลาออกจากงาน มาอยู่สวนแทน ผมจะดูงานที่โรงพยาบาล กับ ร้านขายของให้ ภาคิดว่าไง” เขาพูดซะยืดยาว ว่าพลางก็โอบร่างวิภาวรรณมาแนบกาย
“ไม่รู้สิคะ ภายังคิดไม่ออก ตอนเด็ก พลไปอยู่เชียงใหม่เหรอคะ มิน่า!!”
“อะไรเหรอคับ” “อะ.. เอ่อ ปล่าวคะ ก็ดีนะคะ ที่จันทบุรีนี่ก็อากาศดี ชุ่มชื้นเกือบทั้งปี น่าจะเพาะกล้วยไม้ได้สวย ว่าแล้วก็อยากเห็นฝีมือพลจัง ว่าจะปลูกดอกไม้ได้สวยมั้ยน๊าาาาา”
“หึหึ เอ้อ นี่ คิดยังไงครับนี่ ใส่ชุดแบบนี้ เดินมาในสวนน่ะ” วิภาวรรณขมวดคิ้ว มองดูตัวเอง สวมกางเกงขาสั้นสีขาวแนบเนื้อ อวดเรียวขาสวย เสื้อยืดสีชมพูจางแบบง่ายๆ รัดรูป จนมองเห็นสัดส่วนชัดเจน โดยเฉพาะหน้าอก มันกลมเป็นเต้าเด่นชัด ทำให้หล่อนดูกลายเป็นสาวสวยวัยกระเตาะไปเลย ตั้งแต่วีรพลย้ายมา เขายังไม่เคยเห็นหล่อนใส่ชุดแบบนี้สักครั้ง เคยเห็นแต่ชุดประมาณเจ้าหญิง หวานๆ เรียบร้อย
“ทำไมคะ อยู่บ้านก็ใส่แบบสบายๆ ไม่เห็นมีอะไรนิคะ”
“ผมกลัวเจ้าป่า เจ้าสวนจะน้ำลายหกนะ ฮ่ะๆๆๆ โอ้ยยย” ไม่ทันระวังก็เลยโดนทุบปั้กเข้าให้
“บ้า คนลามก”
“เอ้อ ภาครับ เสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้ ภาว่างมั้ย”
“มีอะไรเหรอคะ”
“พอดีที่มหาลัยเค้าจัดงานสังสรรค์รวมรุ่นศิษย์เก่านักศึกษาแพทย์ประจำปีน่ะ ผมอยากให้ภาไปด้วย ส่วนเจ้าธรก็จะให้ชวนน้องแพรไป จะได้รู้จักกับเพื่อนๆ ผม แล้วผมจะพาว่าที่สะใภ้ไปรู้จักกับคุณพ่อ กราบเท้าท่านด้วย ภาว่างมั้ยครับ”
“อะ เอ่อ... คือ..”
“ทำไมละ”
“แหม พลไม่อายเพื่อนบ้างเหรอ ภาอายเค้านะ และก้อ คุณพ่อพลจะยอมรับภาเหรอคะ รอให้เวลาอีกหน่อยเถอะคะ ภาคิดว่าภายังไม่พร้อม” วิภาวรรณ รีบทำสีหน้ากลบเกลื่น
“ว้าาาาา ตั้งสองสามวัน คิดถึงแย่เลย ถ้าภาไม่ไปด้วย”
“แล้วพลไม่ไป ไม่ได้เหรอคะ” แววตาหล่อนหม่นลง สวมกอดเขาไว้ บัดนี้ เมื่ออยู่กับเขาตามลำพัง หล่อนมักจะทำตัวเหมือนเด็กขาดความอบอุ่น ผิดจากที่ทำงานหรือว่าที่อื่น ที่ต้องวางบุคลิกเรียบขรึม เป็นผู้นำ
“คงต้องไปอ่าครับ กะว่าจะคุยธุระกับคุณพ่อด้วย ตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ จะเกือบปีล่ะ ไม่ค่อยได้ติดต่อกันเลย คิดถึงท่านเหมือนกัน ผมยังมีน้องสาวน่ารักๆ อีกคนน๊า ถ้าไม่ติดว่าแม่เธอไม่ชอบขี้หน้าผมล่ะก้อ ครอบครัวผมคงได้อยู่พร้อมหน้ากันหมด ยกเว้นแม่ของผม” น้ำเสียงของวีรพลเข้มขรึมทันที วิภาวรรณได้แต่ลอบมองหน้าเขาเหมือนอยากจะบอกอะไรบางอย่าง โดยที่วีรพลไม่ได้สังเกต
“ป่ะ กลับเข้าบ้านเถอะ หิวล่ะ เอ..... วันนี้เมนูอะไรดีน๊าาาาา แกงจืด แกงป่า แกงเผ็ด ตบท้ายด้วยของหวานขนมเค้ก ดีมั๊ยที่รัก ฮ่ะๆๆๆ” หัวเราะพลางจ้องมองหน้าหล่อนเหมือนเป็นการบอกว่าเขาสื่อความหมายอะไร วิภาวรรณเงื้อกำปั้นจะทุบเขาอีก แต่คราวนี้ไหวตัวทันรวบแขนหล่อนไว้กอด แล้วพากันเดินเข้าบ้านไป..
เย็นวันศุกร์ก่อนที่วีรพลกับธนธรณ์จะเดินทาง แพรวากับวิภาวรรณพากันมาที่บ้านสวน ช่วยกันทำอาหาร ทั้งธนธรณ์และวีรพลตัดสินใจให้แพรวามาอยู่เป็นเพื่อนวิภาวรรณ ซึ่งแพรวาเองก็ตั้งใจอย่างนั้นอยู่แล้ว ทั้ง 4 ร่วมทานอาหารด้วยกันพูดสนุกสนาน จนถึงเวลาเดินทาง สองสาวต่างวัยก็ได้ส่งอำลาคนรัก แม้จะแค่ไปทำธุระไม่กี่วัน ก็ทำเอาสองสาวใจหายเหมือนกัน เพราะตอนนี้ต่างก็สนิทสนมกันอย่างมาก โดยเฉพาะวิภาวรรณนั้นสีหน้าเธอบ่งบอกอาการได้ชัด วีรพลฝากรถเขาให้วิภาวรรณใช้ อ้างว่ารถวิภาวรรณเก่าแล้ว ส่วนเขาจะเปลี่ยนกันขับรถของธนธรณ์เข้ากรุงเทพฯ แพรวาลอบมองสาวใหญ่คนสวย เห็นวิภาวรรณมองส่ง วีรพลกับธนธรณ์ขับรถออกไปด้วยสายตาเหม่อลอย
“แหม เพิ่งจะได้รู้นะเนี่ย พี่พลจะเป็นคนโรแมนติกเอามากๆ เห็นเผินๆ ไม่ค่อยพูดจา อยู่ๆ ก็คว้าหัวใจพี่ภาของหนูไปทั้งดวงแล้ว” แพรวาพูดลอยหน้า ทำตาซึ้ง ล้อเลียน
“หื๊ออ มากไปแล้วแพร ถ้าไม่มีหัวใจ พี่ก็ตายแล้วสิ”
“ก็แพรมองเห็นตอนนี้ พี่ภาเหมือนคนไร้วิญญาณไปแระ” หล่อนยังไม่เลิกกระเซ้าวิภาวรรณ
“ว่าแต่แพรเถอะ ไปกันถึงไหนแล้วค๊าา”
“ก็ พี่หมอบอกว่าไปกรุงเทพฯ คราวนี้ จะไปปรึกษากับญาติผู้ใหญ่ และก็คุยกับท่าน ผอ.ที่โรงพยาบาลให้เป็นเถ้าแก่อยู่คะ รอนานไม่ได้แล้วคะ เอ่อ...อิอิ เดี๋ยว เอ่อ.. ท้องโย้ซะก่อน”
“ห๊า แพร จริงเหรอจ๊ะ แหม วัยรุ่นวัยไฟกันจังนะ พี่ว่าแพรไม่รอให้มั่นใจหรือหลังแต่งงานก่อนไม่ดีกว่าเหรอ”
“คะ แล้วพี่ภาละคะ จะได้ฤกษ์รื้อรั้วกั้นบ้านเมื่อไหร่คะ”
วิภาวรรณได้แต่ยิ้มเฉยๆ
“น่าอิจฉาจังเลย ที่ดินพี่ภาก็ไม่น้อยถ้าแต่งงานกับพี่พล รวมเข้าด้วยกันนี่เกือบสองร้อยไร่เลยนะคะ ที่จริงพี่ภาไม่เห็นต้องทำงานเลย แค่อยู่เฉยๆ ก็สบายแล้ว นี่ถ้าอยู่กับพี่พลด้วยละก้อ ไม่รู้จะเอาเงินเก็บไว้ไหนแล้ว”
“พี่รักที่จะทำงานจ๊ะ ได้รู้จักผู้คนเยอะแยะ จะได้ไม่เหงา มีเงินแต่ไม่มีสังคม เพื่อนฝูง จะมีค่าอะไรล่ะจ๊ะ”
“งืมม บ้านพี่ภาก็เป็นเรือนไทย บ้านพี่พลก็เรือนไทย แต่ออกปนแนวตะวันตกนิดหน่อย อะไรจะใจตรงกันขนาดน้านน”
“พลเค้าใฝ่ฝันอยากได้บ้านอย่างนี้มานานแล้วล่ะ แล้วเค้ายังจะทำสวนกล้วยไม้ด้วยนะ”
“แม๊ รู้ข้อมูลกันซะละเอียดขนาดนี้ แพรว่า รื้อรั้วบ้านเถอะคะ คิคิคิคิ”
“ยัยบ๊อง อื้อออ พรุ่งนี้เราไประยองกันดีมั้ยจ๊ะ แพร” โดนกัดโดนแซวไม่วายเว้น วิภาวรรณเลยเปลี่ยนเรื่องคุย
“ไประยอง!! ไปทำไมละฮิ ?”
“ไปเที่ยวทะเลกันไง ชอปปิ้งด้วย นานแล้วเราไม่ได้เที่ยวด้วยกันเลย หยุดสองวันพี่ว่าเราไปเที่ยวผ่อนคลายกันบ้างก็ดี พี่เป็นเจ้าภาพให้แพรด้วย ทุกอย่างเลย โอเคมั๊ย?”
“แหม ชอปปิ้งที แพรมือหนักน๊า”
“ตามสบายจ๊า พี่ไม่อั้น”
“อ่อ ลืมไปว่าไปกับใคร ฮิฮิ โอเคคะ”....
เช้ามืดสองสาวก็พากันแต่งตัว เตรียมออกไปเที่ยวกัน แพรวา แต่งชุดเสื้อสายเดี่ยวสีฟ้า กางเกงยีนส์ขาสั้นเป็นริ้วตามชายขากางเกง ดูแล้วน่ารัก ส่วนวิภาวรรณเดินลงมาจะขึ้นรถ
“โห พี่ภา แพรตาฝาดไปหรือเปล่า”
“หืมม มีอะไรหรือจ๊ะ?” ถามพลางหันสำรวจตัวเองว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า
“ก็พี่ภา ไม่เคยแต่งชุดแบบนี้เลย พี่ภาเคยเป็นนางแบบหรือปล่าวคะเนี่ย” วิภาวรรณสวมกางเกงยีนส์ขายาว เรียวแนบตลอดขา ทำให้ขาเธอดูยาวได้ส่วน เสื้อยืดสีเหลืองรัดรูป แต่มีเสื้อสีขาว แขนยาวคลุมอีกที เพียงแต่ไม่ได้ติดกระดุม สังเกตดีๆ จะเห็นได้ว่า ตัวชั้นในจะคล้ายๆ สายเดี่ยว อวดเต้ากลมพองาม มีแว่นกันแดดใส่คาดไว้ ทับที่คาดผม ผมยาวสลวย ถูกปล่อยเป็นธรรมชาติ ไม่ได้รวบเกล้าไว้อย่างเคยทำประจำ ที่แพรวาแปลกใจก็คือไม่เคยเห็นหล่อนใส่ชุดแบบรัดรูปให้เห็นสักครา เคยเห็นแต่วิภาวรรณ แต่งกายแบบปกปิดมิดชิด ซ่อนรูปร่าง ออกแนวหวาน เรียบร้อยอยู่เสมอ กระโปรงที่เคยเห็นหล่อนใส่สั้นมากที่ก็แค่เลยหัวเข่าขึ้นไปหน่อย แพรวามองเห็นความเปลี่ยนแปลงหลายอย่างของนายสาว ก็อดยิ้มชื่นชมไม่ได้ เธออยากให้วิภาวรรณของเธออวดความสวยงามของเธอบ้าง ได้แค่คิดในใจ หมอวีรพลน่าจะมีอิทธิพลต่อจิตใจวิภาวรรณไม่น้อยทีเดียว
“อาราย แพร!! จ้องมองพี่อยู่ได้ ยังกะไม่เคยเห็นพี่เลยหรือไง ไปกันเถอะจ๊ะ เด๋วสาย พี่อยากขับรถให้ไปถึงระยองสัก 6-7 โมงเช้า จะได้รับบรรยากาศทะเลยามเช้าบ้าง”
“ฮิฮิฮิ เปล่าหรอกคะ แพรแค่แปลกใจ เจ้าหญิงหน้าหวานเปลี่ยนแปลงเป็นสาวมาดมั่นไปแล้ว ดูแปลกตาคะ พี่ภาหุ่นสูงเพรียวยังกะนางแบบเลย มิน่า พี่พลถึงได้เพ้อนักหนา”
“บ้าแล้ว ยัยบ๊อง ไปเถอะๆ” ไม่รู้จะโต้ตอบแพรวายังไง ก็ได้แต่ค้อนแล้วตัดบทขึ้นรถของวีรพลที่ทิ้งไว้ให้ขับออกไป
“แหม... เด๋วนี้ถึงกับฝากรถให้ใช้เลย ตัวไม่อยู่ยังอุตส่าห์มีสิ่งแทนใจไว้ให้ ฮิฮิฮิฮิ.... โห้ววว รถพี่พลนี่หรูไม่ใช่เล่น นั่งสบายวิ่งนิ่มนวลมากเลย เสียงเครื่องก็ไม่ดัง เบ๊นซ์หรูๆ นี่มันดีอย่างนี้เอง ไม่เหมือนเจ้ากระป๋องของแพร เร่งเครื่องนานๆ ก็ไม่ได้ เสียงดังอื้อ ฟังเพลงแทบไม่ได้”
“ก็ลองให้ธนธรณ์เค้าซื้อให้สักคันสิจ๊ะ รายนั้นเห็นว่าเป็นลูกเศรษฐีค้าพลอยนี่ พี่ว่าเค้าก็น่าจะพอซื้อให้แพรได้น๊า”
“ไม่เอาดีกว่าคะ รบกวนเขาเปล่าๆ อีกอย่างก็ยังเป็นแค่แฟน แค่พนักงานธนาคารจะเอาอะไรมากมาย มีให้ขับก็ดีถมเถแล้วคะพี่ ว่าแต่เราจะไปหาดไหนดีละคะ”
“ยังคิดไม่ออกเลย พี่ว่าเราขับไปเรื่อยๆ อยากลงเที่ยวที่ไหนก็จอดรถลงไปเล่นดีกว่านะ วันอาทิตย์ค่อยเดินหาที่ซื้อของ เย็นๆ ค่อยกลับก็ได้ ขับรถไม่กี่ชั่วโมงเอง”
“พี่ภานึกยังไงน๊า อยากเที่ยวนอกจังหวัด ทุกทีเห็นเที่ยว ชอปปิ้งแค่ในจันทบุรีเอง ที่จริงแค่ในจันทบุรีที่เที่ยวก็แยะออก”
“แหม ก็อยากเปลี่ยนบรรยากาศมั่งสิจ๊ะ อุดอู้มากๆ เดี๋ยวได้เฉาตายกันพอดี เอ๊.....แพรนี่ เด๋วนี้ชักขี้สงสัยมากไปล่ะนะ ซักพี่หลายเรื่องละ จะจับผิดพี่เรื่องอะไรล่ะ”
“เปล่าซะหน่อย แค่เห็นพี่ภาเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มะก่อนพี่ภาอ่ะ ทำตัวเหมือนอมทุกข์ ไม่ค่อยเปิดโลก เหมือนมีความในใจอะไรเก็บไว้ แพรไม่อยากเห็นพี่ภาเป็นอย่างนั้นเลย”
“จ้า ยัยตัวจุ้น”
ทั้งสองสาวขับรถถึงระยองก็เร่หาสถานที่ถูกใจลงเล่นน้ำ วิภาวรรณเลือกหาดแห่งหนึ่งซึ่งคนไม่พลุ่งพล่าน ไม่เป็นที่ขึ้นชื่อของนักท่องเที่ยวนัก หล่อนอยากหาที่เล่นน้ำที่มันสงบๆ เพื่อผ่อนคลายอารมณ์ เปลี่ยนเป็นชุดว่ายน้ำ บิกินี่สีเขียวสด หล่อนเป็นคนผิวขาวอยู่แล้วมันยิ่งขับให้ดูขาวนวลตามากยิ่งขึ้น อวดทรวดทรงอะร้าอร่ามชัดเจน แพรวาเองยังแปลกใจ ขนาดเธอเองยังไม่กล้า สวมแค่กางเกงขาสั้นหลวมๆ กับเสื้อสายเดี่ยวเท่านั้นลงเล่นน้ำ แพรวาจนอดถามไม่ได้ว่าทำไมถึงกล้าใส่บิกินี่ วิภาวรรณก็บอกว่าหล่อนเคยใส่ประจำเมื่อครั้งอยู่ที่บ้านที่กรุงเทพฯ เพียงแต่แค่ภายในบ้านเท่านั้น แต่คราวนี้อยากผ่อนคลายบ้าง หลังจากที่มีแต่เรื่องชวนให้ปวดหัวมาพักนึง สองสาวเล่นน้ำจนเป็นที่พอใจแล้วก็พากันขึ้นเปลี่ยนชุดตามเดิม ขับรถหาที่ทานอาหารเที่ยง ไปเจอร้านหนึ่ง ไม่ใหญ่มากนัก คนก็ยังไม่มาก จึงแวะเข้าไป นั่งสั่งเมนูแบบง่ายๆ แต่นั่งอยู่นานอาหารที่สั่งก็ยังไม่มาเสิร์ฟสักที
“เอ๊ะ ยังไงกัน แพร ลูกค้าก็ไม่มาก ทำไมไม่มีคนมาเสิร์ฟอาหารเลย”
“เด๋วแพรจัดการให้คะ พี่........ เอ่อ... คุณลุงๆ คุณลุงคะ อาหารอ่ะ ตั้งนานแล้วนะ จะรอเสิร์ฟเมื่อไหร่กันคะ”
“โทดจ๊ะหนู เอ..... เด็กๆ มันทำไรกันอยู่ เฮ่ย....ลูกค้ารอนานแล้ว ทำอะไรกันอยู่เว้ยยย” ชายวัยกลางคน ร้องเรียกพนักงาน แล้วหันกลับมา พูดหน้าเจื่อนๆ
“โทดทีนะ หนู ปกติก็ไม่เคยเป็นอย่างนี้เลย เอ๊ะ...!!” ชายคนนั้นทำท่าแปลกใจ จ้องมองมาที่วิภาวรรณ ทำท่าเหมือนเจออะไร วิภาวรรณเองก็จ้องหน้ากึ่งตกใจ อยู่ดีๆ มีคนมาจ้องสำรวจเธอไปทั้งตัว เมื่อมองเห็นหน้าเขา วิภาวรรณชักสีหน้า ขมวดคิ้ว เหมือนเริ่มจำอะไรได้ลางๆ
“นี่ คุณวัลวิภา ช่ายหรือเปล่าครับ ช่ายแน่ๆ ใช่มั้ยครับ”
“ไม่ช่ายหรอกคะ ลุง นี่ พี่เค้าชื่อวิภาวรรณ ลุงคงจำผิดมั้ง”
“เด๋วก่อน แพร.... เอ๊ะ นิ.. นี่ ” วิภาวรรณพูดเชิงปรามให้หยุด แล้วพิศมองหน้าเขาเหมือนจะนึกอะไรออก แล้วยกมือจะชี้หน้า จะพูดก็ยังพูดไม่ออก มันยังติดอยู่ที่ริมฝีปาก ดวงตาเธอเริ่มออกแววดุ
“ช่ายคุณวัลวิภา แน่ๆ หน้าตาแทบไม่เปลี่ยนเลย คุณคงจำผมไม่ได้ ผมธงชัยไงครับ”
“ธงชัย......นี่นาย...” วิภาวรรณเหมือนจะเริ่มจำอะไรได้ สีหน้าหล่อนเปลี่ยน เริ่มบึ้งตึง ตาดุขึ้น เหมือนจะโกรธเขามาแต่ชาติปางไหน ยกมือชี้หน้าเขา ขยับตัวลุกขึ้น
“แพร พี่ว่าเราเปลี่ยนร้านดีกว่า ไปเถอะ”
“เดี๋ยวครับๆ คุณวัลวิภา อย่าเพิ่งไป คุณจำผมได้แล้วช่ายมั้ยครับ”
“คนที่ชั้นไว้ใจทำชีวิตชั้นแทบไม่มีอะไรเหลือ คงจะลืมง่ายอยู่หรอก”
“คุณวัลวิภา อย่าเพิ่งไปเลยครับ ผมขอร้อง ผมอยากจะพูดบางเรื่องกับคุณ ได้โปรดนะครับ” ชายคนนั้น คุกเข่าลงต่อหน้า วิภาวรรณสีหน้าเหมือนโกรธเคือง มองเขาด้วยหางตา ลมหายแรงเกือบจะเป็นหอบ แต่แล้วก็นั่งลงตามเดิม แพรวายังงงกับเหตุการณ์ ไม่รู้ว่าสองคนมีอะไรกัน รู้จักกันได้อย่างไร
“นายมีอะไรก็พูดมา ชั้นไม่มีเวลา ไม่อยากเห็นหน้านายอีก” วิภาวรรณยังสีหน้าเดิม เชิดคอระหง
“ผมอยากจะขอโทษ สิ่งที่ผมทำลงไป ผมคิดอยู่แล้วว่ามันคงจะทำใจยากที่คุณภาจะยกโทษให้ผม ตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น ผมก็อยู่มาอย่างทุกข์ใจมาตลอด ตราบใดที่คุณภา ยังไม่ยกโทษให้ผม ผมรู้ว่าผมผิดเอง ผมไม่น่าทำกับคุณภาแบบนั้น ผมไม่น่าเนรคุณคุณภาเลย ขอให้คุณภายกโทษให้ผมด้วย ผมยินดีจะชดใช้ ไม่ว่าคุณภาจะให้ผมทำอะไร”
“มาขอโทษตอนนี้ มันไม่สายไปหน่อยเหรอ นายรู้มั้ย ชีวิตชั้นต้องพังทลายลง ชั้นต้องสูญเสียสิ่งที่ชั้นรักที่สุด ต้องสูญเสียครอบครัว สามี และลูกของชั้น นายรู้หรือเปล่า แค่ชั้นอยากได้ลูกคืน ยังไม่มีทางได้มา ตลอดเวลาที่ผ่านมาชั้นต้องทนทุกข์แค่ไหน” วิภาวรรณเริ่มเสียงเครือ
“เอ่อ คุณภาไม่เคยเจอหนูโอ๊ตเลยเหรอคับ ผมคิดว่าคุณได้เจอเสียอีก ผมไม่น่าหลงผิดเห็นแก่เงิน ไม่น่าเชื่อใจคนผิด คุณอรทัย เค้าจ้างผม เพราะตอนนั้นผมมีปัญหาการเงินงานก่อสร้าง จ่ายลูกน้องไม่ทัน บริษัทรับเหมาจะโดนยึด แต่สุดท้ายก็โดน คุณอรทัยโกง และยึดไป ผมถึงได้มาอยู่ที่นี่ ทำให้ผมทุกข์ใจมาตลอด ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าคุณภาไปอยู่ที่ไหนแล้ว ผมอยากจะขอโทษ คุณภายกโทษให้ผมด้วยเถอะครับ ผมยินดีทำทุกอย่าง”
“ยกโทษแล้ว ชั้นได้อะไรกลับคืนงั้นเหรอ พี่วัฒน์เค้าเกลียดชั้น กล่าวประณามเสียๆ หายๆ ไสส่งชั้นออกจากบ้านอย่างไร้ค่า แล้วยังพรากลูกชั้นอีก ชั้นจะได้กลับคืนมั้ย นายธงชัย....นายรู้หรือเปล่า พ่อแม่ชั้นถึงกับตรอมใจตาย กว่าชั้นจะทำใจยอมรับมันได้ ต้องทุกข์ทรมานแค่ไหน”
“ผมรู้ว่าผมผิด บาปกรรมมันคงตอบสนองผมแล้ว ตอนนี้ลูกเมียผมมันก็หนีตามฝรั่งไปอยู่ยุโรปแล้ว ไม่มีใครเหลือเลย แค่ร้านอาหารเล็กๆ กับบังกะโลนิดหน่อย ก็จะไม่เหลือแล้ว ผมไม่รู้ว่ามันจะอยู่รอดหรือเปล่า ผมถึงได้รู้สึกผิดกับการทำให้ครอบครัวพลัดพราก อยากเจอคุณภา อยากกราบขอโทษคุณภา ถึงคุณภาจะไม่ยกโทษ อย่างน้อยผมก็ดีใจ ที่ได้พูดความจริง ยัยคุณนายอรทัยเธออยากแย่งเจ้านายมาจากคุณภา เลยจ้างผมให้จัดฉากใส่ยานอนหลับแล้วไปนอนกับคุณภา โดยเอาบริษัทผมเป็นประกัน แล้วยัยอรทัยก็เล่นเล่ห์โกงยึดบริษัทผมไป ตอนนี้ผมก็ไม่ต่างจากคุณภาหรอกคับ อาจจะแย่กว่าด้วยซ้ำ ผมขอโทษจริงๆ ครับ..” แล้วธงชัยก็ก้มลงจะกราบแทบเท้าวิภาวรรณ ใบหน้าเธอยังบอกถึงอาการขุ่นเคืองอยู่
“นายไม่ต้องกราบชั้น ธงชัย ชั้นจะถือซะว่ามันเป็นกรรมของชั้น เราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีก เข้าใจมั้ย” สำเนียงวาจาของวิภาวรรณ เด็ดเดี่ยวปนดุดั่งนางพญา ออกบัญชาสั่งบริวาร
“โอววว คุณภา ยังจิตใจงามเหมือนเดิม แค่นี้ก็เป็นพระคุณกับผมแล้วครับ คุณภาไม่เปลี่ยนไปเลยนะครับ ยังสวยเหมือนเดิม ยังกะเมื่อ 15 ปีก่อนเลยถ้าคุณภามีอะไรให้ผมชดใช้ ผมยินดีครับ”
“ไม่ต้อง... หมดเรื่องจะพูดแล้วใช่มั้ย ชั้นจะไป”
“เอ่อ คุณภา ถือซะว่าผมทำบุญไถ่โทษ ผมขอเลี้ยงข้าวสักมื้อ ถ้าคุณภามาเที่ยวอยากจะพัก ผมจะจัดที่พักให้ นะครับคุณภา อย่างน้อยก็ขอให้ผมได้ไถ่โทษกับผู้มีบุญคุณกับผม นะครับ...” วิภาวรรณถอนใจแรง แต่อารมณ์หล่อนยังไม่ได้ลดลงสักเท่าใดนัก
“ก็ได้ ชั้นจะถือว่าเราหมดหนี้กรรมกัน เราจะไม่ต้องพบกันอีก”
นายธงชัยออกอาการดีใจอย่างมาก จัดแจงให้เด็กที่ร้านทำอาหารที่ดีที่สุด และได้จัดบังกะโลหลังหนึ่งให้วิภาวรรณกับแพรวาพัก วิภาวรรณหมดความสนุกในการเที่ยวครั้งนี้ ได้แต่เดินไร้อารมณ์ไปตามชายหาด จนแพรวาเองก็พลอยไม่สนุกไปด้วย
“พี่ภาคะ ลุงคนนั้น เค้าเป็นอะไรกับพี่ภาเหรอ ดูเค้าเกรงกลัวพี่ภามากเลย”
“เค้าเคยเป็นเจ้าของรับเหมาก่อสร้าง เป็นหุ้นส่วนบริษัทบ้านจัดสรรของพี่กับสามีเก่าหน่ะ พี่เป็นคนสนับสนุนทุนให้เขาตั้งบริษัทรับเหมา เพื่อจะได้เป็นเครือข่ายให้บริษัทพี่น่ะจ๊ะ ไม่นึกว่าเค้าจะทำกับพี่ได้”
“เป็นแพรนะ ตามล่าล้างเผ่าพันธุ์ไปแล่ว คนเนรคุณแบบนี้ แต่พี่ภายังอุตส่าห์รับน้ำใจเขาอีก”
“คนเคยสนิทสนมกัน ยังไงมันก็มีใจผูกพันกันบ้าง พี่ว่าเค้าก็ยังรู้จักสำนึกผิด อุตส่าห์คุกเข่าขอโทษ ถึงพี่จะแค้นเขาอยู่มาก อยากจะฆ่าเขามากก็ตาม เห็นอย่างงี้พี่ก็ทำไม่ลงหรอก พี่ไม่อยากผูกแค้นใครล่ะ ทุกข์ใจเปล่าๆ ใครทำอะไรไว้ไม่ช้าก็คงจะได้รับสิ่งที่เขากระทำ พี่เชื่ออย่างนั้น ดูนายธงชัยสิ เค้าอายุเท่าๆ พี่นี่แหละ คงจะเป็นทุกข์มากๆ ดูเขาโทรมไปเยอะเลย จนพี่เกือบจะจำไม่ได้”
“แต่ก็นะ พี่ภาทำถูกแล้วล่ะ แพรว่า ผลกรรมดีจึงพาให้พี่ภากลับมาพบแต่สิ่งดีๆ ตอนนี้พี่ภาจะได้มีชีวิตใหม่ที่สดใสซะที แล้วหนูโอ๊ตนี่ ชื่อลูกพี่ภาเหรอคะ” แพรวาพูดให้กำลังใจ ยิ้มให้เจ้านายสาว แล้วถามต่อ
“จ๊ะ พี่เรียกแต่ลูกโอ๊ตขี้อ้อน เพราะเค้าจะขี้แย มักจะอ้อนแม่เสมอๆ” พูดถึงตอนนี้วิภาวรรณก็เหม่อลอยอีก..
ในวันอาทิตย์สองสาวต่างวัยก็พากันเดินตามร้านตลาด ซื้ออาหารทะเล เครื่องประดับหยุมหยิม ตามประสาหญิงสาว แล้วก็เดินหาร้านเสื้อผ้า แพรวาเลือกเพียงไม่กี่ชุด เพราะเกรงใจวิภาวรรณ ถึงแม้โดนคะยั้นคะยอชวนให้เลือกเพิ่มก็ตาม วิภาวรรณก็เลือกไปหลายชุด โดยเฉพาะชุดนอน ชุดชั้นในที่เซ็กซี่ บางชุดบางวาบหวิว แพรวาเห็นยังตาโต อ้าปากค้าง ไม่อยากเชื่อว่าคนอย่างวิภาวรรณที่เรียบร้อย อ่อนหวาน จะกล้าเลือกซื้อไปใส่
“จะใส่อวดพี่พลเหรอคะเนี่ย แหน่แน๊ แบบนี้คงอีกไม่นาน สองรั้วสองแผ่นดินจะได้เป็นแผ่นเดียวกันแล้วม้างงงง” แพรวากระเซ้า วิภาวรรณก็ได้แต่ยิ้มเขินๆ จากนั้นทั้งสองก็พากันไปหาร้านเครื่องดื่ม ดับกระหาย ทั้งสองเลือกร้านติดชายหาดร้านหนึ่ง ที่ร่มรื่น มีคนเดินประปราย ขณะที่ดื่มน้ำปั่นเย็นๆ มองทะเลไปพลาง ตอนนั้นลมกำลังพัดเย็นสบาย ก็มีคนกลุ่มหนึ่งน่าจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติแถวเอเชียด้วยกันนี่แหละ ประมาณ 10 คน พากันวิ่งเข้ามาหาทั้งสองสาว บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็ถือสมุดเล็กๆ พร้อมปากกา มาพูดคุยกับทั้งสองสาว โดยเฉพาะมุ่งไปที่วิภาวรรณ ไม่รู้เค้าพูดภาษาอะไรอลหม่าน วุ่ยวายไปหมด วิภาวรรณฟังไม่ออก ก็ได้แต่ทำหน้าเหรอหรา จนมีชายคนหนึ่งเข้ามาพูดคุยด้วยจึงรู้ว่าเค้าเป็นคนไทยเป็นไกด์นำเที่ยว พูดภาษาจีนได้
“ขอโทษนะครับพี่ นักท่องเที่ยวเข้าใจผิดนะครับ”
“ทำไมเหรอค่ะ”
“คือว่า เขานึกว่าเจอ หวังจูเสียน มาเที่ยวเมืองไทยเลยอยากมาขอถ่ายรูปกับขอลายเซ็นนะครับ เขาบอกเป็นแฟนประจำ แต่ผมว่าพี่น่ะ ก็คล้ายจริงๆ ครับ ผิดแต่ที่พี่จะตาโตกว่าหน่อย ผมเคยดูหนังของดาราคนนี้อยู่เหมือนกัน”
วรรณวิภากับแพรวาทำสีหน้างงๆ
“ใครคะ หวังจูเสียน” ทั้งแพรวากับวิภาวรรณถามเกือบพร้อมกัน
“เอ่อ เขาเป็นดาราจีนที่ดังมากช่วงนึง”..........
เมื่อนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นจากไป สองสาวก็พากันหัวเราะ ขำกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“พี่ภารู้จักดาราคนนี้หรือปล่าว”
“ไม่จ๊ะ พี่ไม่ค่อยได้ดูหนังสักเท่าไหร่ ส่วนมากถ้าดูจะเป็นหนังฮอลลีวู้ดมากกว่าหนังจีน แพรละจ๊ะ รู้จักเหรอ”
“ไม่หรอกคะ ถ้าดาราเกาหลี ก็พอจะรู้บ้าง เอ้อออ เป็นไปได้เนอะโลกนี้ มีเรื่องแปลกๆ อยู่เรื่อยเลย มาเที่ยวกับพี่ภาคราวนี้เจอแต่อะไรที่เซอร์ไพร้ส์จริงๆ เล้ยยยย” พูดไปพลางหัวเราะไปพลาง
“คิคิคิคิ พี่ก็ไม่นึกเหมือนกัน”
“แค่ข้ามวัน พี่ภาของหนู จะกลายเป็นคนดังไปซะแล่ววว”
จนตกเย็นสองสาวก็พากันขับรถมุ่งหน้ากลับจันทบุรี ระหว่างทางทั้งคู่ก็คุยกันไปสัพเพเหระ ส่วนมากแพรวาจะเป็นคนชวนคุยมากกว่า
“พี่เปลี่ยนชื่อนานแล้วเหรอคะ เห็นลุงธงชัยเรียก วัลวิภา”
“ก็ตั้งแต่พี่ย้ายออกจากกรุงเทพฯ แหละจ้า ไม่อยากใช้ชื่อนั้นแล้ว อยากให้มันหายไปจากใจ แต่ก็นั่นแหละนะ วัลวิภา วิภาวรรณ สรุปแล้วก็เรียกสั้นๆ ว่าวิภา หรือ ภา เหมือนเดิม มาคิดดูคนเราถึงจะเปลี่ยนชื่อไปยังไง หัวใจคนเรามันก็อันเดิม เปลี่ยนแปลงไม่ได้อยู่ดี ตอนนี้พี่ขอใช้ชีวิตอย่างที่พี่อยากทำ อยากเป็น ไม่อยากยุ่งกับอดีตอีกแล้ว”
“ดีแล้วคะ ตอนนี้พี่ภาก็อยู่สุขสบายแล้ว มีหน้าที่การงาน มีบ้าน แล้วก็แหะๆๆ จะมีผู้รู้ใจมาเติมเต็มหัวใจพี่ภาให้พบแต่ชีวิตใหม่ที่ความสุข แพรยังดีใจแทนพี่ภาเลยนะ แพรก็ขอให้พี่ภาครองรักกับพี่พล มีครอบครัวที่อบอุ่น จากใจน้องสาวคนนี้นะคะ” แพรวาส่งยิ้มอย่างรัก และจริงใจ
“จ้า ขอบใจจ๊ะ พี่ก็อวยพรน้องแพรเช่นกัน ขอให้มั่นคงในรักและเชื่อใจกัน สร้างครอบครัวที่อบอุ่น ขอเพียงเรามีความมั่นคง ซื่อตรงจริงใจ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน แค่นี้ก็สามารถประคองชีวิตคู่ไปได้ อย่างมีความสุข นะจ๊ะ”
“ก้าบ ป๋ม น้อมรับคำแนะนำและจะปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพราะคุณแม่ขอร้อง ไม่อย่างง้าน เด๋วจะม่ายฉะบาย” ว่าพลางก็ทำเสียง หน้าตาท่าทางล้อเลียนตัวละครซิทคอมเรื่องนึง
“ช่ายแล้วค้าบ พี่น้องแพรวาค้าบบบ” วิภาวรรณก็เสริมทัพ ด้วยสำนวนติดปากของตัวละครอีกตัวนึง ในเรื่องเดียวกัน แล้วก็พากันหัวเราะสนุกสนาน......