The Paradox 1.4 การเปลี่ยนแปลง (เล่าเรื่องเสียว)
บทที่ 1.4 ....การเปลี่ยนแปลง
พุทธศักราช 2535
1 เดือนผ่านไป หลังจากการฌาปณกิจร่างน้องกิฟท์ ชีวิตประจำวันของผมเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติอันน่าเบื่อหน่าย การดูแลแก๊งค์ ควบคุมกิจการนอกกฎหมาย และการขยายเขตอิทธิพลไปยังพื้นที่คลองโคนของไอ้ธง ที่กำลังแตกกระจายเนื่องจากการหายไปของหัวหน้า โดยไม่มีใครรู้ว่าซากศพไอ้ธงได้จมดินไปกับการเผาด้วยยางรถยนต์เมื่อเดือนที่ แล้ว งานที่วุ่นวายทำให้ผมแทบไม่มีเป็นตัวของตัวเอง ลูกน้องทุคนของผมทำงานอย่งเต็มที่จนในที่สุดก็สามารถเข้าครอบครองพื้นที่ คลองโคนไว้ได้อย่างสมบูรณ์ จนทำให้ผมมีสถานะเป็นผู้มีอิทธิพลสูงสุดในอำเภอเล็กๆ ที่มีเพียงสี่ตำบลแห่งนี้
เสียงเคาะประตูห้องทำให้ผมต้องละความสนใจจากหนังสือพิมพ์และกาแฟเบื้องหน้า ข่าวการลุกฮือของประชาชนต่อต้านเผด็จการทหาร ไม่ได้อยู่ในความสนใจของผมเท่าใดนัก ชีวิตในพื้นที่แห่งนี้ห่างไกลยิ่งจากผลกระทบทางการเมืองทุกรูปแบบ
“เฮียวิทย์ ทิพย์เข้าไปได้ไหม..”
เสียงเด็กสาวคนสนิทที่ทำหน้าที่ด้านบัญชีรับจ่าย รวมทั้งดูแลเรื่องส่วนตัวให้ผมมาตลอด 5 ปี ดังขึ้น แม้สายตาและความเข้าใจของคนภายนอกรวมทั้งลูกน้องในแก๊งค์ผมทุกคน จะเข้าใจว่านังทิพย์เป็นเมียของผม แต่ไม่มีใครรู้ความจริงแม้แต่น้อยว่าตลอดเวลาที่นังทิพย์อยู่ร่วมบ้าน ผมไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางเพศกับนังทิพย์แม้แต่ครั้งเดียว อาจเป็นเพราะว่าเมื่อผมรับรู้อดีตที่โหดร้ายของนังทิพย์ หรือทิพย์วารี ธนศารสมบัติ ลูกสาวนักธุรกิจส่งออกข้าวรายใหญ่ของประเทศ ที่กลับเปลี่ยนจากนักเรียนโรงเรียนคอนแวนต์ชั้นสูงมาถูกบังคับเป็นโสเภณี ย่านสำเพ็งจนติดโรคร้าย ที่ส่งผลให้ต้องตัดมดลูกทิ้ง ทำให้ผมมีแต่ความสงสารและไม่เคยต้องการให้นังทิพย์กระทำอื่นใดนอกจากการช่วย เหลืองานตามปกติเท่านั้น
ความคิดผมย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ที่นังทิพย์ก็ใช้โอกาสที่พักอยู่ในโรง พยาบาลหนีการควบคุมของแก๊งค์เก้ายอดออกมา พบกับผมเป็นครั้งแรกโดยบังเอิญที่สวนลุมพินี การช่วยนังทิพย์ที่ถูกสมุนแก๊งค์เก้ายอดรุมทำร้ายเพื่อนำตัวกลับไปเป็น โสเภณี ทำให้นังทิพย์ เข้ามาอยู่ในชีวิตผมนับแต่นั้น พร้อมทำให้ผมต้องหนีออกจากกรุงเทพมายังคลองน้อย เพื่อหลบหนีการแก้แค้นของแก๊งค์เก้ายอดซึ่งเป็นที่รับรู้ในวงการนักเลงทั้ง หมดว่าไม่สามารถตอแยได้
ผมถอนใจยาวเมื่อคิดถึงความลับของแก๊งค์เก้ายอดที่น้อยคนจะรู้ วงการนักเลงรู้แต่เพียงว่าแก๊งค์นี้เป็นชาวจีนที่ครอบครองอิทธิพลในพื้นที่ เยาวราชมานาน โดยไม่ยอมขยายอิทธิพลออกจากพื้นที่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าไปแบ่งปันผลประโยชน์ทุกรูป ความโหดเหี้ยมดุร้ายของแก๊งค์เก้ายอดเป็นที่เลื่องลือ จนกลายเป็นเขตต้องหามของแก๊งค์อื่นๆ แต่ผมทราบดีว่าผู้ที่เบื้องหลังของแก๊งค์เก้ายอดต่างหากคือความน่ากลัวที่ แท้จริง และคงไม่ใครนึกถึงว่าชายชรานามถังฮวง หัวหน้าแก๊งค์เก้ายอดที่เปลือกนอกเป็นเพียงผู้เฒ่าอมโรค ที่ทแท้คือผู้สืบทอดปราณมังกรฟ้าที่ตกทอดมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ รวมทั้งศิษย์ทั้งสี่ที่แยกย้ายกันดูแลกิจการ ล้วนเป็นผู้ทรงปราณมังกรฟ้าระดับสูง ที่แม้ไม่ต้องมีอาวุธใดๆ ก็สามารถสังหารศัตรูได้ในพริบตา การช่วยเหลือนังทิพย์โดยการสังหารสมุนของแก๊งค์เก้ายอดไปสองคน จึงเท่ากับการประกาศสงครามโดยเปิดเผยระหว่างผมกับแก๊งค์เก้ายอด จริงอยู่ที่ผมเชื่อว่าผมสามารถหักหาญกับผู้ใดผู้หนึ่งในกลุ่มศิษย์ของถังฮวง ได้ แต่ผมสำนึกดีว่าแก๊งค์ของผมยังไม่เข้มแข็งพอรับการโจมตีของบุคคลทั้งสี่ พร้อมกันได้แม้แต่ชั่วขณะเดียว ทำให้ผมต้องพาลูกน้องทุกคนหนีมาอยู่ในพื้นที่ซึ่งห่างไกลเช่นในปัจจุบัน
“เฮียวิทย์...อยู่หรือเปล่า ”
เสียงเคาะประตูเบาๆ ดังซ้ำขึ้น ปลุกผมจากเหตุการณ์ในอดีต
“เข้าสิทิพย์ ประตูไม่ได้ล๊อค ”
สิ้นเสียงอนุญาต นังทิพย์ก็ก้าวเท้าเข่ามานั่งพับเพียบอยู่ข้างเก้าอี้ที่ผมนั่งอยู่
“เฮียบอกกี่ทีแล้วว่า ให้มานั่งบนเก้าอี้ อย่ามานั่งกับพื้นแบบนั้น”
ผมบ่นอย่างไม่จริงจังนัก เพราะรู้ดีว่านังทิพย์ไม่เคยยอมขึ้นมานั่งเสมอกับผมแม้แต่ครั้งเดียว นังทิพย์สบตาผมส่ายหน้าแล้วยิ้มบางๆ บอกให้รู้ว่าคำบ่นของผมไม่เกิดผลบังคับใดๆ กับนังทิพย์
“เอ้าว่าไง อย่ามัวแต่ยิ้มมีอะไรถึงมาหาเฮียแต่เช้า”
นังทิพย์เอื้อมมือมาหยิบไฟแช๊คขึ้นจุดไฟให้ เมื่อเห็นผมหยิบบุหรี่ออกจากซอง
“วันนี้เฮียดูอารมณ์ดีขึ้นนะ ทิพย์ดีใจที่เฮียไม่เครียดเหมือนเดือนที่แล้ว”
ผมหัวเราะเบาๆ
“วันนี้มาแปลกนะเรา จะขอให้เฮียทำอะไรล่ะ หรือจะขอเงินไปแต่งตัวกับเขาบ้าง”
นังทิพย์สั่นหน้า อาจจะเป็นอุปทานที่ผมรู้สึกว่าแววตานังทิพย์สลดลงวูบหนึ่ง แล้วกลับเข้าสู่แววตาปกติ
“ไม่ใช่เรื่องของทิพย์หรอก ทิพย์อยากมาคุยกับเฮียเรื่องหนูพิม”
“ หนูพิม..ลูกเจ็เหล็งน่ะหรือ ”
ผมทวนคำเบาๆ ใบหน้ากลมน่ารักที่ประดับด้วยแว่นสายตาคล้ายเด็กหญิงผู้เป็นที่รักของผมในอดีต ปรากฏขึ้นในความคิด นังทิพย์พยักหน้ารับ
“ก็หนูพิมที่เฮียช่วยไว้เมื่อเดือนก่อนนั่นแหละ เมื่อคืนนี้หฯุพิมมาหาทิพย์ที่ห้องร้องไห้ร้องห่มใหญ่ ไม่ยอมกลับบ้าน จนทิพย์ต้องให้ค้างคืนด้วย”
ผมสะดุ้งเล้กน้อยเมื่อได้ยินคำอธิบายของนังทิพย์ ภาพร่างเปลือยของเด็กหญิงที่เกือบถูกไอ้ธงและพวกข่มขืนผุดขึ้นมาความคิด
“หนูพิมเป็นอะไรไปล่ะ หรือว่ามีใคร.... ”
นังทิพย์สั่นหน้า เข้าใจทันทีว่าผมหมายถึงอะไร
“ไม่มีใครทำร้ายหนูพิมหรอกเฮีย แต่เเป็นเรื่องนังเหล็งน่ะ มันให้หนูพิมลาออกจากโรงเรียนไปอยู่กับร้านของน้องชายมันที่ยะลา ไอ้ห่านี่มันเคยติดคุกคดีข่มขืนมาแล้ว ถ้าหนูพิมไปอยู่ที่นั่นมันต้องข่มขืนหนูพิมแน่ๆ ทิพย์อยากรู้จริงๆ ว่าว่าถ้าหนูพิมเป็นลูกแท้ๆ ของนังเหล็งมันจะบังคับให้ลูกออกจากโรงเรียนไปอยุ่กับพวกบ้ากามแบบนี้ไหม”
เสียงนังทิพย์บอกถึงความเห็นใจหนูพิมและโกรธแค้นเจ๊เหล็งอย่างรุนแรง ผมรู้ดีว่านังทิพย์มีความรู้สึกที่ดีกับเด็กหญิงผู้ปราศจากพ่อแม่ ที่ถูกเจ๊เหล็งเก็บมาเลี้ยงเอาไว้เพียงเพื่อหวังใช้แรงงาน และจะโพนทนาชาติกำเนิดของเด็กหญิงให้ผู้คนรับรู้เสมอเวลาเมาขาดสติ ทำให้หนูพิมกลายเป็นเด็กที่เงียบขรึม มุ่งทำงานที่ได้รับคำสั่งอย่างไม่ปริปาก แต่ขณะเดียวกันก็มุมานะเรียนหนังสือจนได้รับทุนให้ไปศึกษาต่อระดับมัธยมที่ กรุงเทพในโรงเรียนที่มีชื่อเสียงอย่างสตรีวิทยา แต่แล้วอนาคตและโอกาสทั้งหมดก็กลับพังทลายเมื่อเจ๊เหล็งบังคับให้เด็กหญิง ละทิ้งเป้าหมายในชีวิต เพื่อให้ทำงานหาเงินมาสนองความต้องการของตนเองเท่านั้น
“อีเหล็งมันทำลายอนาคตเด็กแบบนี้ได้ยังไงกัน”
ผมโพล่งออกมาอย่างเหลืออดเมื่อได้ยินเรื่องของหนูพิม นังทิพย์สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงที่แสดงความไม่พอใจของผม นังทิพย์เอื้อมมือมาเกาะขาผมไว้
“เฮียหาทางช่วยเด็กมันหน่อยได้ไหม..ทิพย์ขอร้อง ทิพย์กลัวว่าถ้าหนูพิมต้องออกจากโรงเรียนไปอยู่กับไอ้เหี้ยนั่น หนูพิมต้องเจอแบบเดียวกันกับที่ทิพย์เคยเจอ ทิพย์ไม่อยากเห็นเด็กที่สดใสอย่างหนูพิมต้องมีชีวิตแบบทิพย์”
เสียงของนังทิพย์ค่อยๆ เปลี่ยนจากความโกรธ ไปเป็นความเสียใจ น้ำเสียงเด็กสาววัย 19 ที่เคยประสบกับการรุมข่มขืนจากผู้ชายที่เด็กหญิงในวัยเพียง 12 ปีเชื่อว่ามีความรักมอบให้ แต่กลับเป็นการหลอกไปให้เพื่อนเดนคนทั้งกลุ่มข่มขืนอย่างทารุณ และส่งไปขายที่ซ่องในความควบคุมของแก๊งค์เก้ายอดกว่า 2 ปี จนดอกไม้แรกแย้มต้องกลายเป็นเศษซากที่เหี่ยวเฉา เช่นเด็กสาวที่นั่งอยู่เบื้องหน้าผมคนนี้
ผมนิ่งไปชั่วขณะ ก่อนตัดสินใจ..
“ทิพย์ไปบอกอีเหล็งนะว่า เฮียรับหนูพิมให้มาช่วยงานที่นี่ ถ้าไม่พอใจอะไรให้มาคุยกับเฮียที่นี่ แล้วก็ไปเรียกหนูพิมมาพบเฮียเดี๋ยวนี้เลย”
“ เฮียวิทย์.. ”
นังทิพย์อุทาน เงยหน้ามองผมอย่างไม่เชื่อกับสิ่งได้ยิน ทำให้ผมต้องรีบสำทับ
“ไปเร็วๆ มานั่งตะลึงอะไรกัน”
ใบหน้านังทิพย์ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ลุกขึ้นวิ่งออกไปจากห้องด้วยกริยาที่ราวกับเด็กหญิง ผมสูบบุหรี่ในมือพ่นควันออกมาช้าๆ รู้ดีว่าเจ๊เหล็งจะไม่กล้าขัดขืนความต้องการของผมอย่างแน่นอน เพราะยังคงหากินต้องอยู่ในพื้นที่อิทธิพลของผม ก่อนที่ผมจะดับบุหรี่ นังทิพย์ก็กลับเข้ามาห้องพร้อมกับร่างเด็กหญิงวัย 12 ในชุดเสื้อยืดหลวมๆ กางเกงกีฬาขาสั้นกระดำกระด่าง ตัดความขาวผ่องของลำขาอวบเกินอายุที่พ้นขอบกางเกงอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าเด็กหญิงยังคงมีร่องรอยการร้องไห้ให้เห็นได้รางๆ จากคราบน้ำตาที่เกาะกรังร่องแก้ม แต่แววตาน้องพิมกับเป็นประกายแจ่มใส ซึ่งผมรู้ดีว่าเป็นประกายที่เกิดจากการบอกเล่าการตัดสินใจของผมให้น้องพิม รับรู้เมื่อครู่ แต่ก่อนที่ผมจะทักทายเด็กหญิง ร่างน้อยๆ ก็ทรุดตัวลงคุกเข่ากราบแทบเท้าผม พร้อมเสียงสะอื้นที่ดังขึ้น
“พิมของคุณเฮียวิทย์ที่ช่วยพิม พิมจะขอรับใช้เฮียวิทย์ที่นี่”
ผมรับสอดมือเข้าใต้วงแขนเด็กหญิงเบื้องหน้า แล้วออกแรงดึงให้ลุกขึ้นกลับมาอยู่ในท่านั่งพับเพียบเช่นเดียวกับนังทิพย์ ก่อนที่จะปล่อยมือ สัมผัสที่ปลายนิ้วผมบอกให้รู้ว่าได้กระทบกับฐานหน้าอกเต่งของเด็กหญิงเบาๆ แต่ก็รับรู้ได้ถึงความครัดเคร่งของก้อนเนื้อที่ซ่อนอยู่ภายใต้เสื้อยืดตัว หลวมนั้น
“หนูพิมไม่ต้องของคุณเฮีย เดี๋ยวกลับไปที่บ้านบอกนังเหล็งมันว่า เฮียจะให้หนูพิมมาทำงานช่วยนังทิพย์และให้พักอยู่ที่นี่ เฮียจะให้เงินเดือนเดือนละ 4 พัน หนูพิมจะแบ่งให้นังเหล็งเท่าไหร่ก็แล้วแต่ และที่สำคัญ”
ผมหยุดชั่วขณะก่อนกล่าวต่อ
“หนูพิมทำงานช่วยนังทิพย์เฉพาะตอนเย็นและเสาร์อาทิตย์ ส่วนกลางวันก็ไปเรียนที่โรงเรียนตามปกติ ห้ามลาออกมาอย่างเด็ดขาดเข้าใจไหม”
“เฮียวิทย์... ”
เสียงนังทิพย์และน้องพิมอุทานขึ้นพร้อมกัน น้องพิมโถมเข้ากอดขาผมไว้แน่น ส่งเสียงระล่ำละลัก
“พิมขอบคุณเฮียวิทย์ พิมพ์จะตอบแทนทุกอย่างที่เฮียต้องการ พิมพ์จะ...”
ผมลูบศีรษะเด็กหญิงเบาๆ อย่างปราณี ในใจคิดถึงร่างหนึ่งที่เคยโผเข้ากอดผมแน่นเมื่อผมบอกความในใจของเด็กหนุ่ม วัย 15 ให้รับรู้ภายใต้ร่มของต้นรังริมลำห้วยสายน้อย ก่อนขัดจังหวะคำพูดของเด็กหญิง
“เฮียมีเงื่อนไขข้อหนึ่งที่หนูพิมต้องปฏิบัติ หนุพิมจะทำได้ไหม ”
เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นสบตาผม แล้วปล่อยแขนจากการกอดขาผมไว้ พยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล
“ พิมสัญญาจะทำทุกอย่างตามความต้องการของเฮียวิทย์ ”
“เฮียจะส่งให้หนูพิมเรียนเท่าที่หนูพิมต้องการ แต่หลังจากจบการศึกษาแล้ว หนุพิมต้องไปให้พ้นจากชุมชนนี้ ไปเริ่มชีวิตใหม่ อย่าหันกลับมาที่นี่อีกเป็นอันขาด เข้าใจไหม.. ”
เด็กหญิงอ้าปากกว้าง ใบหน้าที่ฉายแววดีใจเมื่อได้ยินคำว่าส่งให้เรียน เปลี่ยนไปทันทีเมื่อผมจบคำสั่งที่ให้ออกไปจากชุมชน ...
“ทะ ทะ ทำไม..พิมจะรับใช้เฮียวิทย์ที่นี่..ทำไมพิมต้องไป.. ”
ผมส่ายหน้าเบาๆ
“ที่นี่ไม่มีอะไรเลยสำหรับอนาคตของหนูพิม .. อย่าจมอยู่กับปลักโคลนที่นี่ อย่าเป็นอย่างเฮียที่ต้องทิ้งการศึกษากลางทาง เส้นทางของเฮียมันหยุดที่ตรงนี้ แต่ของหนูพิมมันจะต้องออกไปจากที่นี่ ไม่ต้องโต้แย้งอะไรแล้ว ออกไปได้ เฮียจะทำงาน”
ผมตัดบทเพื่อยุติการสนทนา นังทิพย์หันมาฉุดร่างหนูพิมให้ออกไปจากห้อง เมื่อเห็นผมหันกายกลับไปยังโต๊ะเบื้องหน้าเป็นสัญญานจบการสนทนาที่ทุกคนใน แก๊งค์เข้าใจกันดี เสียงสะอื้นด้วยความดีใจของหนูพิมและเสียงพูดของนังทิพย์ค่อยๆ ห่างออกไป ทิ้งผมให้กลับมาอยู่ในความเงียบสงบตามปกติ
ผมทอดสายตาไปยังภาพชุมชนคลองน้อยที่ปรากฏอยู่ที่หน้าต่างเบื้องหน้า ภาพของชุมชนที่เสื่อมโทรม ยากไร้จนไม่มีอนาคต ปรากฏอยู่ตรงหน้า นี่เป็นสถานที่ที่ดูเหมือนจะถูกสังคมภายนอกลืม ข่าวสารจากหนังสือพิมพ์ที่ผมอ่านทุกวันบอกให้รู้ว่าโลกภายนอกกำลังพัฒนาไป ข้างหน้าอย่ารวดเร็ว การติดต่อสื่อสารเริ่ม ขยายตัวจนโลกกำลังเล็กลงทุกขณะพร้อมกับคำศัพท์ใหม่ๆ เช่นโลกาภิวัตน์กำลังเข้ามาแทนที่สังคมดั้งเดิม แต่ขณะเดียวกันปัญหาสังคมมากมายก็ขยายตัวตามมา โดยเฉพาะการข่มขืนซึ่งปรากฏขึ้นเป็นข่าวหน้าหนึ่งแทบทุกวัน ใจผมคิดไปถึงหนูพิม ที่ผมพยายามช่วยให้เด็กหญิงที่มีส่วนคลับคล้ายน้องรินคนนี้พ้นจากความล้า หลังในชุมชน แต่ผมก้ไม่แน่ใจว่าจะเป็นการผลักหนูพิมให้ไปสู่ความเสื่อมโทรมของสังคมภาย นอกหรือไม่ในอนาคต หนูพิมอาจจะก้าวไปสู่อนาคตสดใส หรืออาจจะต้องกลับมาอยู่ในสภาพเดียวกับนังทิพย์ ที่ต้องติดอยู่กับสถานที่ซ่อนตัวแห่งนี้ไปอย่างไม่มีกำหนด
ในความเงียบ ผมคิดถึงความจริงอันโหดร้ายที่เกิดกับน้องกิฟท์ ตลอดเวลาที่ผมหลบหนีคดีมายังกรุงเทพ ผมไม่เคยได้รับข่าวคราวจองน้องกิฟท์อีกเลย นอกจากคำบอกเล่าของน้าแม้นวงศ์ ที่บอกผมเมื่อ 15 ปีก่อนว่าหลังจากเหตุร้ายเกิดขึ้นกับผมและน้องริน ครอบครัวน้องกิฟท์ก็ย้ายออกจากหมู่บ้านไปอย่างกระทันหัน โดยไม่มีผู้ใดทราบว่าทั้งหมดย้ายไปยังที่ใด แต่หลังจากที่ผมรับน้องกิฟท์มาจากวัดที่พำนักของผู้ป่วยโรคเอดส์ ผมก็ได้รับรู้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นกับน้องกิฟท์ ข้อเท็จจริงที่ทำให้ผมต้องแค้นเคืองกับโชคชะตาที่เกิดขึ้น
‘ คุณพ่อข่มขืนกิฟท์ ’
เสียงแผ่วเบาที่อ่อนระโหยของน้องกิฟท์ เล่าให้ผมฟัง หลังจากผมนำร่างที่ใกล้ถึงกาลแตกดับออกมาจากวัด ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องกิฟท์เกิดในวันเดียวกันกับวันที่ผมและน้องรินไป ยังบ้านเล็กริมห้วย น้องกิฟท์เล่าให้ฟังว่าหลังจากที่ผมและน้องรินกลับออกไป ในตอนบ่ายวันนั้นเองที่ พ.ต.ท.สมภพ กลับมาจากทำงานก่อนเวลา และเข้าไปข่มขืนน้องกิฟท์ ที่ห้องนอนโดยที่เด็กหญิงไม่สามารถขัดขืนได้ แต่หลังจากทำลายความสาวของลูก สาวตนเอง ดูเหมือนว่า พ.ต.ท.สมภพ จะกลับได้สติและมองภาพน้องกิฟท์ที่สะอึกสะอื้นอยู่บนเตียงอย่างตกใจ และก่อนที่น้องกิฟท์จะรู้ตัว บิดาผู้เคยเป็นทุกอย่างในชีวิตน้องกิฟท์ ก็จับปืนมาจ่อขมับ และลั่นไกปลิดชีวิตตนเองต่อหน้าลูกสาว ทิ้งให้น้องกิฟท์กรีดร้องราวกับเสียสติ จนมารดาน้องกิฟท์กลับมาจากทำงานและพบสภาพอันสยดสยองในห้องของลูกสาว
แต่แทนที่คุณวีณาผู้เป็นมารดา จะแจ้งความสิ่งที่เกิดขึ้นต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ หญิงผู้ใกล้เสียสติกับภาพที่เกิดขึ้นกลับสั่งการให้นำร่างไร้วิญญานของ พ.ต.ท.สมภพ และน้องกิฟท์ เดินทางเข้ากรุงเทพในคืนนั้น และนำร่าง พ.ต.ท.สมภพไปให้บิดาผู้มีอิทธิพลใน จ.ชลบุรี ทำลายอย่างลับๆ พร้อมแจ้งความให้ พ.ต.ท.สมภาพกลายเป็นผู้สาบสูญ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกับน้องกิฟท์กลับโหดร้ายยิ่งกว่า สตรีผู้เป็นมารดาที่เคยรักทะนุถนอมลูกสาว กลับโทษว่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นความผิดของน้องกิฟท์ และกักขังเด็กหญิงไว้ที่ จ.ชลบุรี เพื่อให้คนงานประมงใช้ร่างของเด็หญิงเป็นที่ระบายความใคร่ กว่า 10 ปี จนเด็กหญิงที่เคยสดใสราวดอกไม้แรกแย้มแย้ม กลับกลายเป็นร่างที่ไร้จิตวิญญาน และติดเชื้อโรคร้ายจนทำให้ต้องนำตัวมาทิ้งให้รอความตายที่วัดซึ่งผมไปพบ
‘กิฟท์ไม่โกรธแค้นใครอีกต่อไปแล้วพี่เอ กิฟท์ต้องการเพียงให้พี่เออยู่ข้างๆ กิฟท์ จนกว่ากิฟท์จะจากไปเท่านั้น ตอนนี้กิฟท์เพียงแต่เสียดายเวลาที่กิฟท์มีความสุขอยู่กับพี่เอและพี่ริน มันน้อยเหลือเกิน กิฟท์รู้ว่าพี่รินรักพี่เอ แต่กิฟท์ก็เคยแอบฝันว่าบางทีกิฟท์อาจจะมีโอกาสอยู่กับพี่เอและพี่ริน ในฐานะภรรยาอีกคนหนึ่ง แต่ในเมื่อสวรรค์ไม่อนุญาตให้กิฟท์ได้ตามสิ่งที่ต้องการ กิฟท์ก็คงต้องโทษโชคชะตาตัวเองเท่านั้น ....’
เสียงของน้องกิฟท์แว่วขึ้นมาจากความทรงจำ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ผมรัก ทำให้บางทีผมต้องต้องคิดว่านี่เป็นชะตาที่สวรรค์ลิขิตมาให้เกิดขึ้นกับผู้ ที่ผมรักผมจริงๆ หรือไม่ บางทีผมอาจต้องยอมจำนนต่อโชคชะตาและปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามความต้องการจาก เบื้องบน จนกว่าจะสิ้นชีวิต
“เฮียวิทย์..ทิพย์เข้าไปได้ไหม”
เสียงนังทิพย์ทำให้ผมสะดุ้งขึ้นจากความคิดคำนึง นาฬิกาเบื้องหน้าบอกเวลา 10 โมงเช้า ผมถอนใจยาว เมื่อพบว่าตนเองจมอยู่ในความคิดบ่อยครั้งขึ้นและนานขึ้นทุกที
“ เข้ามาสิ แล้วเรื่องหนูพิมเรียบร้อยไหม ”
ผมตอบอนุญาต พร้อมถามเรื่องของเด็กหญิงในทันทีที่นังทิพย์เข้ามาในห้อง
“เรียบร้อยแล้วเฮีย หนูพิมเอาเสื้อผ้าของใช้มาด้วยแล้ว ตอนที่ทิพย์ไปถึงน่ะ ไอ้น้องชายบ้ากามของเจ็เหล็งกำลังรอรับตัวหนูพิมอยู่พอดีเลย นี่ถ้าทิพย์เป็นผู้ชายคงได้ชกปากมันแล้ว เฮียน่าจะได้เห็นสายตามันที่มองหนูพิมนะ นี่ถ้าหนูพิมขึ้นรถไปกับมันรับรองว่าได้เสียสาวก่อนถึงยะลาแน่ๆ”
นังทิพย์รายงานด้วยน้ำเสียงแค้นเคือง
“แล้วเจ็เหล็งล่ะ คัดค้านอะไรหรือเปล่า”
ผมถามอย่างไม่สนใจอะไรนัก เพราะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว
“ มันจะไปกล้าอะไรล่ะเอีย พอทิพย์บอกว่าเฮียจะรับตัวหนูพิมไปอยู่ด้วยมันก็หงอเลย ทิพย์เลยสำทับบอกมันว่าเฮียจะรับหนูพิมเป็นเมียด้วย ห้ามใครเข้ามายุ่งเกี่ยวกับหนูพิมอีก”
ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินคำพูดของนังทิพย์
“เฮ้ย เอ็งไปบอกอย่างนั้นได้ยังไงกันนังทิพย์ ”
นังทิพย์หน้าสลดเมื่อได้ยินเสียงดุ แต่ยังคงพยายามชี้แจง
“ทิพย์ขอโทษเฮียที่บอกพวกมันอย่างนั้น แต่ถ้าหนูพิมไม่มีฐานะเป็นเมียเฮีย ไม่ช้าก็เร็วไอ้พวกหนุ่มๆกลัดมันที่นั่นต้องหาทางฉุดหนูพิมแน่ ”
ผมนิ่งไปกับคำชี้แจงของนังทิพย์ ความเป็นที่เกิดขึ้นในชุมชนเสื่อมโทรมแห่งนี้ผ่านการรับรู้ของผมมาโดยตลอด ผมรู้ดีว่าคำพูดของนังทิพย์ไม่ได้เกินเลยความจริงแม้แต่น้อย เด็กหญิงรุ่นสาวแทบทุกคนในชุมชนถ้าไม่ปล่อยตัวมีเพศสัมพันธ์ด้วยความเต็มใจ ก็จะถูกดักฉุดไปข่มขืนจนกลายเป็นสิ่งปกติที่เกิดขึ้น การดักฉุดน้องพิมของพวกไอ้ธงเมื่อเดือนที่แล้วก็เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ ชัดเจน แต่ถ้าทุกคนรับรู้ฐานะของน้องพิมเป็นเมียของผมก็จะไม่มีใครกล้ามายุ่งเกี่ยว อย่างแน่นอน
“น้องพิมอายุแค่ 12 เองนะนังทิพย์ ”
ผมบ่นเบาๆ หลังจากไตร่ตรองยอมรับความจำเป็นที่นังทิพย์ต้องอ้างกับเจ๊เหล็ง
“ทำไมเฮียไม่ไปบอกไอ้พวกที่มันข่มขืนทิพย์บ้างล่ะ ว่าทิพย์อายุ 12 อย่าเพิ่งข่มขืน”
เสียงนังทิพย์ที่ตอบกลับมาสั่นเครือแตกพร่า ทำให้ผมต้องหันมองด้วยความแปลกใจ ร่างนังทิพย์ยังคงพับเพียบกับพื้นเช่นเคย แต่ก้มหน้าสะอื้น สองมือกำเป็นหมัดเกร็งแน่นอยู่ที่หน้าตัก อากัปกริยาที่แปลกไปทำให้ผมต้องลุกจากเก้าอี้มานั่งอยู่บนพื้นข้างนังทิพย์ เชยคางให้สบตาผม
“ทิพย์ เป็นอะไรไป”
นังทิพย์โผเข้ากอดร่างผมไว้แน่น ใบหน้าซุกอยู่กับหน้าอกผมจนผมรับรู้ถึงน้ำตาที่ไหลออกมาชุ่มเสื้อ ผมโอบไหล่นังทิพย์เอาไว้เบาๆ ลูบศีรษะไปมาอย่างปลอบโยน
“ทิพย์เสียใจ.. เสียใจที่ร่างกายของทิพย์ต้องสกปรกเพราะคนที่ทิพย์มอบความรักให้ เสียใจที่ทำไมทิพย์ไม่ได้พบคนดีๆ อย่างเฮียก่อนที่ทิพย์จะเป็นแบบนี้ ที่สำคัญทิพย์อิจฉาน้องพิมที่มีโอกาสหลุดพ้นจากความสกปรกโดยมีเฮียวิทย์คอย ดูแลช่วยเหลือ...เฮียวิทย์รู้ไหมว่าตลอด 5 ปีที่ทิพย์อยู่กับเฮีย ไม่มีสักคืนที่ทิพย์ไม่คิดถึงเหตุการณ์ที่โรงแรมม่านรูดนั้น ทิพย์ไม่เคยลืมความขยะแขยงของควยทุกแท่งที่เข้ามาในร่างกายทิพย์ ชีวิตทิพย์ไม่มีค่าอะไรเลย ไม่มีค่าสำหรับใครทั้งนั้นแม้แต่ตัวทิพย์เอง...”
ผมกอดร่างเด็กสาวที่กำลังสะอึกสะอื้นระบายความในใจต่อเนื่อง ตลอดเวลา 5 ปีที่นังทิพย์พักอยู่กับผม เด็กสาวไม่เคยระเบิดอารมณ์เสียใจออกมาถึงขนาดนี้ ผมนึกเสียใจที่ไม่เคยสนใจสภาพจิตใจของนังทิพย์ และไม่เคยรับรู้ว่าเบื้องลึกของเด็กสาวที่ภายนอกดูเป็นปกติ จะซ่อนความรู้สึกที่เกิดจากบาดแผลในจิตใจไว้มากมาย ผมกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นเล็กน้อยจนรู้สึกถึงร่างกายที่สั่นเทาของเด็กสาว บางทีถึงเวลาแล้วที่ผมควรจะช่วยเหลือเด็กสาวที่ประสบชะตากรรมเลวร้ายคนนี้ ให้มีชีวิตใหม่ที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับหนูพิม
“ทิพย์อย่าคิดดูถูกตัวเองแบบนั้น สำรับใครๆ ทิพย์อาจจะไม่มีค่า แต่สำหรับพี่ทิพย์คือคนที่มีค่าเสมอ”
ทิพย์วารีเงยหน้าขึ้นสบตาผม แววตาสั่นระริก
“เฮีย...”
ผมสั่นหน้าช้าๆ
“ต่อไปนี้ทิพย์อย่าเรียกเฮียอีกเลย พี่ไม่เคยชอบคำนี้ เรียกพี่ว่าพี่เอได้ไหม”
“พี่เอ...ใครกันเฮีย ”
ทิพย์วารีถามด้วยสีหน้าสงสัย
“นั่นเป็นชื่อของพี่ ชื่อที่ไม่มีใครเคยเรียกมา 15 ปีแล้ว พี่ขอโทษที่ไม่ดูแลทิพย์ให้ดีกว่านี้จนไม่รู้ว่าทิพย์ยังไม่ลืมเลือนความเลว ร้ายที่เกิดขึ้น ต่อไปนี้จงจำไว้ว่าทิพย์เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตพี่ พี่จะไม่มีวันยอมให้ทิพย์ดูถูกตัวเองแบบนี้อีก และจงจำไว้นะว่าทิพย์เป็นคนที่มีค่าที่สุดสำหรับพี่”
“พี่..อะ เอ..”
ทิพย์วารีพึมพำเบาๆ อย่างไม่คุ้นเคย
“ นั่นแหละ แล้วก็หยุดร้องไห้ซะ ชีวิตของทิพย์เพิ่งผ่านมา 19 ปี ยังมีอนาคตที่ดีรอทิพย์อยู่ถ้าทิพย์กล้าที่จะก้าวไปหามัน อย่าปล่อยตัวเองให้จมอยู่กับอดีตที่ไม่สามารถแก้ไขได้ แต่จงมองไปที่อนาคตและหาทางทำให้มันดีขึ้น เข้าใจไหม”
คำพูดที่ผมพูดเพื่อกระตุ้นกำลังใจของทิพย์วารี กลับทำให้ผมตระหนักตนเองว่าผมเองต่างหากที่เป็นผู้จมอยู่กับอดีตที่ไม่ สามารถแก้ไขได้ ตลอด 15 ปีที่ผ่านมาผมผลักตัวเองเข้าไปใช้ชีวิตกับความทุกข์และความทรงจำที่เจ็บปวด จนไม่มีช่องว่างสำหรับสิ่งอื่นใด การช่วยเหลือหนูพิม และการระเบิดอารมณ์ของทิพย์วารี กลับเป็นเครื่องกระตุ้นให้ผมรู้สึกตัวว่าทุกสิ่งสามารถเริ่มต้นใหม่ได้ ถ้าผมตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลง
“ทิพย์เข้าใจแล้ว..ขอบคุณพี่เอที่เตือนสติทิพย์ แต่ทิพย์ยังไม่รู้เลยว่าทิพย์จะทำอย่างไรดีกับชีวิตตัวเอง ”
ใบหน้าเด็กสาวที่สบตาผมอยู่เบื้องหน้า สะท้อนแววตาสับสน แต่ยังคงเป็นใบหน้าของเด็กสาวที่งดงามที่สุดคนหนึ่ง หากเจ้าของใบหน้านั้นไม่ตกอยู่ในอารมณ์เศร้าหมองดังที่ปรากกอยู่ตลอดเวลาที่ ผ่านมา ผมรู้ดีว่ามีชายหนุ่มย่านคลองน้อยหลายคนพยายามทำความรู้จักทิพย์วารี แม้กระทั่งเจ้าชัยคนสนิทของผมก็ยังแสดงท่าทีสนใจเด็กสาวอย่างเห็นได้ชัด แต่ที่ผ่านมาทิพย์วารีดูจะไม่สนใจเพศตรงข้าม และเก็บตัวอยู่ในบ้านเงียบๆ เพื่อทำหน้าที่ดุแลกิจการของแก๊งค์โดยไม่เรียกร้องค่าตอบแทนใดๆ ทั้งสิ้น
“ เรื่องนั้นทิพย์ค่อยๆ คิดก็ได้ ทิพย์อาจจะเรียนต่อศึกษานอกโรงเรียนแล้วหาทางเข้ามหาวิทยาลัยก็ได้ อนาคตยังอยู่อีกไกล บางทีทิพย์อาจจะได้พบผู้ชายดีๆ ที่ทิพย์จะได้ใช้ชีวิตร่วมกันก็ได้นะ..”
ประโยคสุดท้ายผมพูดด้วยนำเสียงเย้าแหย่เพื่อปรับเปลี่ยนอารมณ์ของเด็กสาวให้สดชื่นขึ้น แต่ทิพย์วารีกลับถอนใจยาว..
“ ใครจะมาสนใจผู้หญิงที่เคยเป็นกะหรี่ล่ะพี่เอ...โดยเฉพาะผู้หญิงที่ไม่สามารถมีลูกได้แบบทิพย์”
ผมนิ่งงันไปเมื่อนึกถึงความจริงที่ว่าการติดโรคร้ายของทิพย์เมื่อ 5 ปีก่อน ทำให้เด็กสาวต้องผ่ามดลูกที่อักเสบรุนแรงทิ้งทั้งหมด การที่ผมพูดล้อเล่นเรื่องการแต่งงานจึงกลับเป็นการซ้ำเติมทิพย์วารีมากกว่า ที่จะปลอบใจ ผมรีบเปลี่ยนน้ำเสียงเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดทันที
“ ผู้ชายไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายไปทุกคนหรอกทิพย์ เชื่อพี่เถอะว่าผู้ชายที่จะรักทิพย์จริง โดยไม่คำนึงถึงอดีตมีอยู่แน่นอน ขอให้ทิพย์ลืมอดีตและพร้อมที่จะเปิดใจรับเท่านั้น ”
ทิพย์วารีสบตาผม ก่อนหลบสายตาแล้วถามอย่างแผ่วเบา
“ แล้วพี่เอล่ะ เคยเปิดใจรับใครบ้างหรือเปล่า”
ผมนิ่งงันไปกับคำถามของทิพย์วารี จริงทีเดียวที่ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ผมไม่เคยเปิดใจรับผู้หญิงคนใดเข้าในชีวิต ไม่มีแม้กระทั่งการระบายความใคร่ตามปกติของผู้ชายทั่วไป การร่วมรักครั้งสุดท้ายของผมคือการร่วมกับแก้วคำน้องสาวของศัตรูผู้ทำร้าย น้องรินเมื่อ 15 ปีก่อน
“ตลอด 5 ปีที่ทิพย์อยู่กับพี่เอ ทิพย์รู้ว่าพี่เอไม่เคยแม้แต่จะไปเที่ยวผู้หญิง ไม่เคยมีใครที่พี่เอแสดงความสนใจ ทิพย์รู้ว่าพี่เอมีอดีตที่โหดร้าย แม้ทิพย์จะไม่รู้รายละเอียดแต่จากที่พี่เอแสดงต่อพี่กิฟท์ ทิพย์ก็รู้พี่เอไม่ใช่คนที่ไร้ความรักเหมือนที่พี่เอพยายามแสดงออก บางทีถ้าพี่เอจะยอมรับสิ่งที่ผ่านมาเหมือนที่พี่เอพยายามบอกทิพย์ พี่เอก็อาจจะเปิดใจรับใครให้มาช่วยแบ่งเบาความทุกข์ของพี่เอได้บ้าง”
น้ำเสียงทิพย์วารีดูราวกับจะแทรกผ่านเข้ามาในจิตใจผมอย่างเต็มที่ ผมส่ายหน้าช้าๆ
“สำหรับพี่มันคงสายไปแล้วล่ะ”
มือเรียวบางที่อบอุ่นของทิพย์วารีเอื้อมมือมากุมมือผมไว้แน่น
“ถ้าทิพย์จะขอให้พี่เอเปิดใจรับทิพย์บ้าง พี่เอจะรังเกียจทิพย์ไหม”
ผมสะดุ้งกับคำพูดของเด็กสาวในอ้อมแขน ทิพย์วารีสบตาผมแน่วแน่ ริมฝีปากขบแน่นหลังจากใช้ความพยายามพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา ดวงตาเรียวยาวเป็นประกายด้วยความคาดหวัง ผมจ้องมองใบหน้างดงามนั้นอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง ตลอดเวลาที่ผ่านมาทิพย์วารีไม่เคยแสดงท่าทีใดๆ ให้ผมรู้ถึงความรู้สึกที่มีต่อผมนอกจากความเคารพในฐานะผู้มีพระคุณเท่านั้น แต่แววตาที่ผมกำลังจับจ้องอยู่เบื้องหน้านี้ เป็นแววตาเดียวกันกับแววตาน้องรินที่ผมเคยเห็นในอดีต มันเป็นแววตาของหญิงสาวที่ตัดสินใจบอกรักผู้ที่ตนเลือกแล้วว่าคือผู้ที่จะ มอบหัวใจให้
ความเงียบชั่วอึดใจที่เข้ามาปกคลุม ทำให้ทิพย์วารีมีสีหน้าสลดลง เด็กสาวถอนสายตาจากผมก่อนก้มหน้าพึมพำ
“ ทิพย์ขอโทษพี่เอ...ทิพย์น่าจะรู้ว่ากระหรี่อย่างทิพย์ไม่คู่ควรกับพี่เอหรอก..”
ร่างเด็กสาวขยับตัวห่างจากอ้อมแขนของผม เพื่อลุกขึ้น ผมยึดร่างทิพย์วารีไว้ให้แน่นขึ้นดึงร่างบอบบางเข้ามากอด เชยคางกลมมนขึ้นให้สบตากับผม และก่อนที่ทิพย์วารีจะเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมา ผมก็ประทับจูบกับริมฝีปากเรียวบางเบื้อหน้าแทนคำตอบ
ดาวตาเด็กสาวเบิกโพลง แต่หลับตาลงอย่างรวดเร็วเมื่อผมเพิ่มน้ำหนักบดเบียดริมฝีปากอ่อนนุ่ม สองแขนเด็กสาวโอบรอบคอผมแน่น เปิดปากให้ลิ้นของผมเแทรกผ่านเข้าไปรับรสหอมหวานสดชื่นภายใน กลิ่นกายทิพย์วารีหอมกรุ่นอบอวลทำให้ผมกระชับวงแขนแน่นขึ้น และปล่อยให้ลิ้นเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นเรียวเล็กที่ตอบโต้อยู่ภายใน ร่างเด็กสาวอ่อนตัวลงจนค่อยๆ นอนหงายอยู่บนพื้นโดยมีให้ร่างผมโน้มตามลงทาบทับอย่างช้าๆ
“พี่เอ...”
ทิพย์วารีครางออกมาเมื่อผมถอนจูบ เพื่อก้มลงซุกไซร้ซอกคอหอมกรุ่น สองแขนเด็กสาวลูบไล้แผ่นหลังผมอย่างลืมตัว สองมือผมค่อยแทรกผ่านชายเสื้อยืดลูบไล้ผ่านหน้าท้องเรียบเนียน ไปสู่หน้าอกเต่งที่ห่อหุ้มไว้ด้วยบราผ้าฝ้ายราคาถูก เพียงเคล้นคลึงเบาๆ ก็สัมผัสได้ถึงความครัดเคร่งของเต้านมที่ยังคงความแน่นของเนื้อหน้าอกของวัย สาวไว้อย่างเต็มที่ แม้จะผ่านการฟอนเฟ้นของผู้ชายมามากมายก็ตาม เพียงผมสอดมือผ่านบราตัวน้อย หัวนมแข็งปั๋งที่ชูชันขึ้นรับการสัมผัสก็บดเบียดอยู่กับฝ่ามือผม สั่นระริกด้วยอารมณ์สาว ร่างทิพย์วารีแอ่นเหยียดขึ้นราวกับต้องการให้ผมสัมผัสมันอย่างเต็มที่ เสียงเด็กสาวครางกระเส่า
“ โอย...เฮียวิทย์...ทิพย์ ทิพย์... ”
“ เรียกพี่เอสิทิพย์... ”
ผมกระซิบข้างหู พร้อมกับเลือนมืออ้อมผ่านด้านหลังที่แอ่นโค้งขึ้นเพื่อปลดตะขอบรา เพียงขยับนิ้วบราตัวน้อยก็หลุดการการควบคุมหน้าอก ก้อนเนื้อเคร่งครัดทั้งสองข้างดีดตัวอยู่เต็มอุ้งมือผม ขณะที่เจ้าของหน้าอกคู่งามกำลังบิดร่างส่ายไปมาราวกับได้รับความเจ็บปวด...
“พี่เอ...พี่เอ...ทิพย์รักพี่เอ..พี่เออย่ารังเกียจทิพย์นะ...”
ผมเน้นฝ่ามือบดเต้านมเต่งตึงทั้งคู่ สัมผัสความหยุ่นแน่นอย่างละลานใจ
“ พี่ไม่เคยรังเกียจน้องทิพย์...ต่อไปนี้น้องทิพย์ต้องใช้ชีวิตร่วมกับพี่นะ..”
“ทิพย์จะเป็นของพี่เอคนเดียว...พี่เอจะ...อื๋ย...”
ทิพย์วารีครางลั่น เมื่อรับรู้ว่ามือของผมเปลี่ยนเป้าหมายเบื้องบนมายังขอบกางเกงยืดขาสั้นตัว หลวม แล้วแทรกตัวผ่านขอบล่างไปยังกางเกงในเนื้อบางภายใน ความชุ่มชื้นเปียกชุ่มไปทั่วจนรู้สึกได้ ผมแทรกผ่ามือผ่านขอบกางเกงในเพื่อกุมเนินเนื้อทิพย์วารีเอาไว้เต็มฝ่ามือ ทิวขนหนานุ่มที่ปกคลุมเนินเนื้อใ