จอมแพทย์นิรนาม ภาคสอง(ตอนที่ 2 ช่วยชีวิต) (เสียวสุดๆ)
“ท่านผู้เฒ่า ท่านอยู่มานานไม่ทราบท่านอยู่ชายทะเลนานพอจะตอบ
คำถามข้าผู้น้อยหรือไม่” บ่อเมี้ยเอ่ยคำถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ “ท่าน
พ่อหมอน้อยทั่วแถบริมน้ำแยงซีเกียงไม่มีผู้ใดไม่รู้จักผู้เฒ่าเล่าฮูอยู่
ที่นี่มานานกว่า 30 ปีทุกเรื่องราวในลุ่มน้ำแถบนี้เล่าฮูรู้หมด ไม่ทราบ
ท่านพ่อหมอน้อยต้องการทราบเรื่องใดรึ” “ท่านผู้เฒ่าเมื่อประมาณ
18 – 19 ปี มีบุตรผู้ใดถูกลักพาตัวไปอยู่บนเรื่อที่ไหม้ไฟหรือไม่”
ท่านผู้เฒ่านั่งนึกตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ “ไม่มีเด็กหรือบุตรในแถบ
ชายทะเลที่ถูกลักพาตัวไปอยู่บนเรือที่ไฟไหม้ พ่อหมอ” สีหน้าของ
บ่อเมี้ยสลดลงแววตาทอแววความผิดหวัง “แต่ท่านพ่อหมอเมื่อ 18
– 19 ปีก่อน เกิดเหตุประหลาดไม่รู้ว่าเกี่ยวกันหรือไม่ “อะไรหรือ
ท่านผู้เฒ่า” “ มีเรือลำหนึ่งเดิน บังคับมาด้วยชายชุดแดงคนเดียว
แล่นมาตามลำแม่น้ำ แล้วถูกโจมตีด้วยเรือดำ มีเงาสีดำและสีแดงวูบ
วาบไปมาเรือสีดำแล่นจากไปปล่อยให้เรือลำนั้นลุกไหม้แล่นต่อไป
ตามลำน้ำแต่พวกเราชาวประมงหาได้พบเด็กน้อยหรือเสียงของ
ทารกแต่อย่างใดไม่รู้จะเป็นเรื่องที่พ่อหมอต้องการทราบหรือไม่”
บ่อเมี้ยได้แต่นั่งนิ่งตรึกตรองใช้ความคิดแต่ลำพังท่านผู้เฒ่าพูดอะไร
ต่อมาหาได้ฟังไม่ผู้เฒ่าเลยปล่อยให้บ่อเมี้ยคิดไปตามลำพัง เมื่อเช้า
วันใหม่มาถึงบ่อเมี้ยได้ลาผู้เฒ่าพร้อมทั้งข้าวปลาอาหารแห้งเต็มย่าม
ที่พกมา...................................บ่อเมี้ยเดินครุ่นคิดไปตามลำพังหา
ได้สนใจไม่ว่าตนเองอยู่ที่ใดหรือกำลังไปไหน ขณะที่กำกลังเดินคิด
อยู่นั้น มีเสียงจากทางด้านหลังจึงหันไปเห็นขบวนรถม้า วิ่งมาด้วย
ความเร็วมีชายคลุมหน้าชุดสีดำสี่คนขี่ม้าล้อมรอบรถม้ามีชายชรา
สูงอายุเป็นสารถีมีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจ ชายคลุมหน้าคนหนึ่งวิ่ง
เทียบรถม้าและโดดขึ้นเข้าหาสารถีชรานั้นยังไม่ทันได้ร้องขอชีวิต
ดาบยาวก็แทงไปที่หน้าอกของชายชรา เสียงกรีดร้องที่อยู่ในรถบ่ง
บอกว่าข้างในมีสตรี บ่อเมี้ยจึงพุ่งตรงเพื่อช่วยเหลือ ชายคลุมหน้า
ควบม้ามาขวางพร้อมหวดแส้มาที่บ่อเมี้ยพร้อมตะโกน สมควรตาย
บ่อเมี้ยอยู่กลางอากาศพลิกหลบพร้อมคว้าแส้กระชากด้วยพลัง
ลมปราณชายคลุมหน้ารู้ทันทีว่าคู่มือร้ายกาจกับปล่อยแส้สร้างความ
มึนงงให้แก่บ่อเมี้ยเป็นอย่างมาก แต่ก็ฟาดฝ่ามือด้านซ้ายใช้พลังวัตร
ถึง ห้าส่วน ชายคลุมหน้าผู้นั้นก็ฟาดฝ่ามือรับ ตูม ชายคลุมหน้าผุ้นั้นตกม้า ในขณะที่บ่อเมี้ยจะไปที่รถม้า ชายคลุมหน้าอีกสองคน ก็ควบ
ม้าเข้ามาขวางปล่อยให้ชายคลุมหน้าที่อยู่บนรถควบม้าขับรถไป
บ่อเมี้ยได้แต่ทิ้งตัวบนหลังม้าที่ว่าง ทันทีที่นั่งบนหลังม้าดาบยาวฟาด
มาหนึ่งบนหนึ่งล่างเพียงมองก็รู้ว่าเป็นผู้เยี่ยมยุทธและต้องฝึกซ้อม
ร่วมกันเป็นอย่างดี หนึ่งบนหมายถึงกลางตัวบ่อเมี้ยหนึ่งล่างหมายถึง
คอม้าที่ขี่อยู่ บ่อเมี้ยจึงใช้ตัวเบาอันล้ำเลิศโดดจากม้าหมุนตัวหลบ
ดาบบนใช้ปลายเท้าเตะสันดาบล่างทำให้เป้าหมายเปลี่ยนแปลงไป
บ่อเมี้ยทิ้งตัวบนหลังม้า พลังดาบมาหนึ่งหน้าหนึ่งหลังอย่างว่องไว
บ่อเมี้ยพลิกตัวมือสองข้างจับดาบด้วยความแม่นยำสร้างความตก
ตะลึงแก่ชายคลุมหน้าทั้งสองยิ่งนัก สองผู้คลุมหน้าท่าทางจะเป็น
ยอดฝีมือเช่นกันต่างพยายามดึงดาบออกพร้อมทั้งใช้ลมปราณ
กระแทกด้วยพลังสิบส่วนหมายให้แหลกเหลว บ่อเมี้ยรับรู้ด้วยปลาย
ดาบทั้งสองว่าพลังมหาศาลพุ่งมาจึงปรับกระแสร้อนเย็นในร่างกาย
ไม่ขัดขืนไม่ต่อต้านแต่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างสองยอดฝีมือคลุม
หน้า ตูม ทั้งสองกระเด็นตกม้า บ่อเมี้ยไม่มีเวลาสนใจอีกรีบควบม้าไล่
ตามรถม้าที่วิ่งตะบึงข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ชายคลุมหน้าที่ขับขี่รถม้า
คาดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเช่นกัน ไม่มีชะลอตอนเลี้ยว หรือตอนลงเนิน
แต่สามารถประคองรถให้วิ่งได้อย่างรวดเร็ว บ่อเมี้ยจึงละทิ้งม้าใช้
วิชาตัวเบาอันสุดยอดมาที่หลังคารถชายคลุมหน้าชุดดำเปลี่ยน
เส้นทางให้รถกระชากเสียงกรีดร้องในรถยังดังแข่งกับฝีเท้าม้า ชาย
คลุมหน้าเห็นว่าสลัดบุคคลบนหลังคารถไม่พ้นแน่นอนจึงทิ้งบังเหียน
คว้าดาบขึ้นฟาดบ่อเมี้ยทันทีปล่อยให้ม้าวิ่งตะบึงด้วยความเร็วโดยไร้
การควบคุม บ่อเมี้ยหลบดาบที่ฟาดมาสวนกลับด้วยกำปั้นที่อัดไปด้วย
พลังลมปราณ ห้าส่วนชายคลุมหน้าตวัดดาบกลับจึงเปลี่ยนกำปั้นเป็น
ฝ่ามือพลักดาบแล้วใช้เท้าถีบไปที่อกของมัน ตุบ ชายคลุมหน้าหล่น
รถไป แต่รถม้ายังคงตะบึงห้อไปอย่างรวดเร็วและข้างหน้าเป็นหน้าผา
บ่อเมี้ยไม่มีเวลาคิดจึงมุดไปที่หน้าต่างของรถม้า ภาพปรากฏมีหญิง
สาวสามนางกอดกันสีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจกรีดร้องเสียงดัง
แข่งเสียงฝีเท้าม้าบ่อเมี้ยจึงพูดอย่างเร่งด่วน “แม่นางข้าผู้น้อยมา
ช่วยโปรดเกาะข้าพเจ้ารีบด่วนรถจะตกหน้าผาแล้ว” พวกนางยังคง
ตกตะลึงเงอะงะทำอะไรไม่ถูกบ่อเมี้ยจึงจับแม่นางที่ใส่ชุดสีชมพูให้
เอามือนางกอดคอ นางได้แต่แตกตื่นตากลมโตเบิกกว้าง บ่อเมี้ยคว้า
แม่นางชุดเขียวด้วยมือซ้ายแม่นางชุดเหลืองด้วยมือขวา ในขณะนั้น
ม้าควบไม่หยุดยั้งได้ตกลงบนผาที่สูงชัน บ่อเมี้ยพาแม่นางทั้งสาม
ออกจากหน้าต่างรถม้าควับ หมวกของบ่อเมี้ยชนกับขอบหน้าต่าง
หลุดลอย บ่อเมี้ยรีบพุ่งออกทันทีหลังรถม้าหล่น ด้วยพลังกายที่ถูก
ฝึกมาตั้งแต่เล็กพลังลมปราณที่มีมากกว่า 80 ปีทำให้การอุ้มสาม
สาวไม่ทำให้บ่อเมี้ยหนักแรงแต่ประการใดในขณะที่จะหยั่งเท้าเพื่อ
ปรับเปลี่ยนลมปราณในการกระโดดให้พ้นหน้าผา ผุบ เท้าของ
บ่อเมี้ยเข้าไปติดที่ซอกหินทำให้เสียการทรงตัว ในขณะที่จะร่วง
บ่อเมี้ยได้เอาปากคาบเถาวัลย์ที่ห้อยร้อยระย้าจากหน้าผา ............เสียงหอบหายใจ ที่มาจากการตื่นตระหนก เสียงหัวใจที่มาจากแม่
นางทั้งสามดังจนได้ยินชัดเจน เสียงลมพัดหวีดหวิวจากหน้าผา เป็น
ความเงียบที่ไม่มีใครพูดอะไร แม่นางทั้งสามต่างฟุบก้มหน้ากอดแน่น
กับร่างบ่อเมี้ย สิ่งที่เป็นส่วนเกินและอวบอิ่มกดแน่นกับร่างของบ่อเมี้ย
บ่อเมี้ยเองก็ไม่สามารถพูดสิ่งใดได้จึงได้แต่คอย................ ในขณะ
ที่บ่อเมี้ยคอยให้สามสาวมีสติหูของบ่อเมี้ยก็ได้ยินเสียงจากบนหน้า
ผา “ท่านหัวหน้าพวกมันคงตายหมดตกหน้าผาสูงขนาดนี้”
“...............................” “แหมหน้าเสียดายคราวนี้พวกเราจะ
เอาอะไรไปข่มขู่พวกมันละ” “ฮึ ฮึ พวกมันไม่รู้นี่ว่าลูกสาวของมัน
ตายแผนพวกเรายังดำเนินการต่อไปได้” “ท่านหัวหน้าแล้วไอ้คน
สวมหมวกกุ๊ยนั้นเป็นใคร ฝีมือของมันร้ายกาจมากแม้กระทั่งท่าน
หัวหน้าและท่านรองยังเอามันไม่อยู่”
“...................................” “ท่านหัวหน้า นี่เป็นของที่มันทิ้งไว้
ท่าทางมันจะเป็นพ่อค้านะมันเขียนบนธงว่า สามอีแปะ” “พ่อค้าอะไร
ขายของเพียงสามอีแปะ” “ช่างมันเถอะเรารีบไปดำเนินการตามแผน
ของเราเถอะ พวกเราไป” บ่อเมี้ยได้ยินทุกถ้อยคำพอให้ประเมินว่า
แม่นางทั้งสามต้องเป็นลูกสาวของผู้มีอันจะกินและคงถูกพวกมันไล่
จับเพื่อขู่กรรโชกเงินทองแน่นอน แต่แม่นางทั้งสามคงสลบจึงเงียบ
นิ่งไม่ไหวติงบ่อเมี้ยจึงได้แต่รอต่อไป ซักพักบ่อเมี้ยได้ยินบนหน้าผา
ใช่แล้วพวกมันกลับมาดูอีกครั้งความฉลาดรอบคอบ เจ้าเล่ห์เป็นที่น่า
กลัวจริงโชคดีที่แม่นางทั้งสามยังไม่ฟื้นทำให้ไม่มีความเคลื่อนไหวใด
ใด “ท่านหัวหน้าเป็นที่แน่ชัดแล้วถ้าพวกมันยังไม่ตายป่านนี้คงต้องมี
เสียงหรือเคลื่อนไหวขึ้นมาบนผาแล้ว” “อือ ไปพวกเรา” คราวนี้พวก
มันไปจริงบ่อเมี้ยเกร็งลมปราณไปที่ประสาทหูเพื่อรับฟังรอบบริเวณ
ในระยะสามลี้(กิโลเมตรจีนมากกว่าไทยน้อยกว่าไมล์ฝรั่ง)จาก
ประสาทสัมผัสก็ทำให้ทราบว่ามีเสียงฝีเท้าราวประมาณ 4 คนมุ่งหน้า
ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อบ่อเมี้ยลืมตาจากการเกร็งลมปราณ
มาก็เห็นดวงตากลมโตมองมา..............................
แม่นางที่อยู่ในชุดสีชมพูมือกอดอยู่ที่คอของบ่อเมี้ยทำให้หน้าของ
นางห่างไม่ถึงคืบเพียงกั้นด้วยเถาวัลยที่บ่อเมี้ยกัดไว้เท่านั้น บ่อเมี้ย
มองสำรวจใบหน้าของนางผิวพรรรเปล่งปลั่งแก้มนางแดงเรื่อสีชมพู
ใบหน้ารูปไข่จมูกและปากเล็กได้สัดส่วนเพียงนางหลับตามองก็ถือว่า
นางเป็นคนงามอยู่แล้วเมื่อนางลืมตาเปรียบดั่งโฉมสะคราญแห่งยุค
ทีเดียว นางไม่ได้พูดอันใดแต่ดวงตานางเหมือนพูดไม่หยุดยั้ง
บ่อเมี้ยเองก็เคยอยู่ร่วมกับพวกเบญจมาศย่อมรับรู้ถึงสื่อเหล่านั้น
เพียงแต่ไม่แน่ใจ เท่านั้นเองอาจเป็นการคิดไปเองฝ่ายเดียวก็ได้ ซัก
พักสองสาวชุดเขียวและเหลืองต่างฟื้นคืนสติขึ้นมา โอ้ สวรรค์ พวก
นางหน้าเหมือนกันดั่งกระจกมาส่อง พวกนางทั้งสองลืมตามอง นับ
พวกนางทั้งสองมีความงามถือเป็นโฉมงามแห่งยุคก็ว่าได้เพียงแต่ถ้า
เปรียบจะเป็นรองแม่นางชุดสีชมพูอยู่บ้างเท่านั้นเอง พวกนางทั้งสอง
อยู่ในอ้อมกอดของบ่อเมี้ยสิ่งที่นุ่มนิ่มอวบอิ่มแนบกับหน้าอกของบ่อ
เมี้ย นางรู้ตัวได้แต่หน้าตาแดงฉาน ดูเหมือนผู้ที่คุมสติดีที่สุดยังคง
เป็นแม่นางชุดสีชมพูและนางดูเหมือนจะเป็นผู้มีความฉลาดเป็นแน่
นางรู้บ่อเมี้ยพูดไม่ได้แต่ก็รู้ว่าบ่อเมี้ยต้องการอะไร “พลอย ไพลิน
พวกท่านรีบไต่เถาวัลย์ขึ้นไป ท่านผู้มีคุณอาจรับน้ำหนักพวกเราได้
ไม่นาน แม่นางชุดเขียวจับเถาวัลย์ไต่ขึ้นไปการไต่ทำให้สิ่งที่อวบอิ่ม
ชูช่อตั้งเต้าเสียดสีหน้าของบ่อเมี้ยหน้าท้องที่แบนราบ แม้แต่ดอกไม้
ก็ไมเว้นเสียดสีไปที่หน้าของบ่อเมี้ย พวกนางทั้งสามแม้แต่บ่อเมี้ยเอง
หน้าตาแดงฉานแต่ทั้งหมดนิ่งงันปล่อยให้แม่นางชุดเขียวไต่ขึ้นไป
ตามด้วยแม่นางชุดเหลืองซึ่งทำเหมือนแม่นางชุดเขียวการเสียดสี
เหมือนเป็นการวัดขนาดไปในตัวทำให้บ่อเมี้ยรู้ว่าแม่นางทั้งสองทุก
สัดส่วนถอดแบบเดียวกัน จนเหลือแม่นางชุดชมพูนางพูดเบาๆจาก
ปากน้อยๆของนาง “มือของท่านว่างแล้วจะต้องให้ข้าพเจ้าทำเหมือน
พวกนางหรือไม่”(อู้หูรู้ทัน)บ่อเมี้ยหน้าตาแดงฉานอีกครั้งส่ายหน้า
มือหนึ่งจับที่เชือกมือหนึ่งจับที่เอวอันบอบบางกระชากเท้าที่ติดซอก
หินขึ้นมาใช้วิชาตัวเบาสูงสุดลอยตัวขึ้นมา..............................